เปลว สีเงิน
“คนกันเอง” แท้ๆ
ก็นึกว่าจะเอากันให้เป็นสีสันประชาธิปไตยเลือกตั้ง พอหอมปาก-หอมคอ
แต่ที่ไหนได้!
เอากันถึงขั้น “ต้องตายกันไปข้าง” ระหว่างพลังประชารัฐ กับ ประชาธิปัตย์ ในศึกเลือกซ่อมที่ชุมพร เขต ๑ กับที่สงขลา เขต ๖
นี่ถ้าไม่รู้ว่า ๒ พรรคนี้ เป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” กินข้าวร่วมหม้อกันอยู่ละก็ จะต้องถามว่า
จองล้าง-จองผลาญกันมาแต่ชาติปางไหน?
รายการนี้ พูดกันแฟร์ๆ ผมเห็นใจประชาธิปัตย์เขานะ!
พลังประชารัฐ ถือว่า “เป็นผู้ใหญ่”
บิ๊กป้อม “พลเอกประวิตร” ในฐานะหัวหน้าพรรค ควรต้องรู้ “อำนาจ” นั้น ใช้ซื้อคน (บางประเภท) ได้ชั่วครั้ง-ชั่วคราว
“บารมี” ตะหาก ได้ทั้งคน-ได้ทั้งใจ (ทุกประเภท) โดยไม่ต้องซื้อหา และจีรัง-ยั่งยืน
เลือกซ่อมทั้ง ๒ เขตที่ใต้ คุณถาวร เสนเนียม ที่สงขลา และคุณชุมพล จุลใส หรือสส.ลูกหมี ที่ชุมพร เป็นสส.ประชาธิปัตย์ทั้งคู่
เพราะเขาร่วมกับกปปส.นับล้านๆ คนที่คุณสุเทพ เทือกสุวรรณ เป็นแกนนำ ออกมาทำหน้าที่ปกป้องรักษาประเทศจากนักการเมืองไม่สุจริตยุคยิ่งลักษณ์ ออกกฎหมายนิรโทษกรรม “เหมาเข่ง” ตอนตี ๔
“การก่อการดี” เพื่อชาติบ้านเมืองครั้งนั้น……
การกระทำบางอย่าง ย่อมยากหลีกพ้นคำว่าเข้าข่ายผิดกฎหมาย นั่นทำให้เขาต้องพ้นสภาพสส.ตามคำวินิจฉัยของศาล
ก็ต้องเลือกซ่อมแทนสส.ถาวรและสส.ชุมพล ซึ่งจะถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้งกันอาทิตยน์หน้านี่แหละ คืออาทิตย์ ที่ ๑๖ มกรา.๖๕
พูดตามภาษา “คนมีหัวใจ”
ก็สงสารคุณถาวรและคุณชุมพล รางวัลของนักสู้เพื่อชาติบ้านเมือง มันคือความเจ็บปวด ที่บาดลึกความรู้สึกเช่นนี้ละหรือ?
เอาหละ…ในเมื่อจะต้องเลือกซ่อม คนที่เสียไป คือคนประชาธิปัตย์ เท่ากับพื้นที่สงขลา เขต ๖ กับชุมพร เขต ๑ เป็นพื้นที่ของประชาธิปัตย์
“พลังประชารัฐ” พรรคแกนนำรัฐบาลที่มีประชาธิปัตย์ร่วมหัว-จมท้ายอยู่ด้วยกัน
พลเอกประวิตร ในฐานะ “ผู้ใหญ่” แทนที่จะเข้าใจหลักธรรมของคนเป็นผู้ใหญ่ คือ พรหมวิหาร ๔
เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา
แล้วแสดงความเห็นใจ ให้ศีล-ให้พร ให้กำลังใจประชาธิปัตย์ในการลงไปทำศึกเลือกตั้ง
ในฐานะ “พรรคร่วมรัฐบาล” ด้วยกัน
“พลังประชารัฐ” จะไม่ส่งคนลงไปแข่ง ประชาธิปัตย์ชนะ เอาสมาชิกพรรค ๒ คน กลับคืนมา นั่นก็เท่ากับพรรคร่วมรัฐบาล “ทุกพรรค” ชนะด้วยกันอยู่แล้ว
แบบนี้ ก็จะเป็นบารมี ได้ทั้งคน-ได้ทั้งใจ โดยไม่ต้องลงไปแข่งให้เสียทั้งเงิน-เสียทั้งผู้หญ่ และเสีย “ความรู้สึก” พรรคร่วมรัฐบาลไปด้วยกันทั้งหมด!
ผมดูข่าว พลเอกประวิตร อ้างไปตรวจราชการภาคใต้
ก็เจาะจงไปตรวจทั้งที่ชุมพร เขต ๑ และที่สงขลา เขต ๖เรียกว่าไปกันฟูลทีม
๓ ป.ใน “พลังประชารัฐ” เดี๋ยวนี้หมดความหมายแล้ว ต้อง “๑ ป.๒ น.” ถึงจะเปรี้ยง!
ป.ป้อม, น.ธรรมนัส และ น.นฤมล ตรวจราชการใต้ก็ไปกันครบทั้ง “ป.น.น.”
ก็บอกตรงๆ ว่าไปหา “หาคะแนน” ให้ลูกพรรคก็หมดเรื่อง จะอ้างไปตรวจราชการ ให้ข้าราชการพื้นที่นินทาในใจ และให้พวกสามนิ้วต้องเหนื่อย “ปั่นแฮชแท็ก” ด่าด้วยเรื่องจริงไปเพื่ออะไร?
เห็นบิ๊กป้อมบ่นว่าแก่แล้ว ไม่ไหวแล้ว จะเดินทีละก้าวต้องมีคนคอยให้เกาะ
ที่ไหนได้ พอออกสนาม เหมือนวิญญาน “ขุนพลออกศึก” เข้าสิง เห็นปราดเปรียว ปรู๊ดปร๊าด ตาลุกวาว ตอนยืนปราศรัยบนเวที
ยิ่งเห็นชาวบ้านมาฟังปราศรัยกันชนิดมืดฟ้ามัวดินจนโอไมครอนชิดซ้ายด้วยแล้ว ใครที่ว่า บิ๊กป้อมพูดเป็นอยู่คำเดียว “ผมไม่รู้” จะต้องตะลึง
พลังประชารัฐ ไม่ต้องพึ่งบารมีนายกฯ แล้ว ต่อไปนี้…….
แค่ “บิ๊กป้อม” ควงคู่ “ธรรมนัส” แฟนๆ หลามไหลชนิดตลาดแตก เรียกว่ามากันมองสุดลูกหู-ลูกตา ทำเอาบิ๊กป้อมคึก ฝันเห็น “เก้าอี้นายกฯ” อยู่ตรงหน้า อย่างนั้นเลย!
ที่สงขลา ผมดูจากข่าวแวบๆ เห็นคนมาฟังปราศรัยล้นหลาม ทำเอา “ป้อม-ธรรมนัส” ออกอาการดีใจทะลุอก
ที่สวี ชุมพร วันก่อน….
“วันนี้มาในนามครอบครัวพลังประชารัฐ จึงไม่สามารถอยู่นิ่งได้ ที่จะต้องมาช่วยขึ้นเวทีปราศรัยช่วยทนายแดง
และวันนี้ก็ได้ร่วมประชุมหารือกับท่าน “พลเอกประวิตร” หัวหน้าพรรคฯแล้ว และมีฉันทามติว่า
พรรคพลังประชารัฐจะแพ้ไม่ได้ จึงขอกำลังใจและเสียงจากพี่น้องชาวสวีให้ทนายแดงด้วย”
นี่คือประกาศิตท่านเลขาฯพลังประชารัฐ!
คำว่า “นายกฯประยุทธ์” เป็นส่วนเกิน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยในการปราศรัยหาเสียงของพลังประชารัฐอีกต่อไปแล้ว
ส่วนที่สงขลาเมื่อคืน (๑๐ มค.) ลีลาบิ๊กป้อมและธรรมนัส ต้องบอกว่า “สุดๆไปเลย” ชนิดไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ถ้าประกวดระหว่างเวทีปราศรัยของประชาธิปัตย์กับเวทีของพลังประชารัฐ โดยเอาจำนวนคนมาฟังเป็นเกณฑ์
“พลังประชารัฐ” กินขาด “ประชาธิปัตย์”
แต่จำนวนคนฟังปราศรัยจะใช้เป็นตัวชี้ขาดถึงผลเลือกตั้ง ๑๖ มกรา.เห็นจะไม่ได้
โดยเฉพาะกับคนใต้…….
การเมืองอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว เมื่อทราบ “บิ๊กป้อม” มาปราศรัยหาเสียงเอง ถือเป็น “ของแปลกใหม่” ชนวัว-ชนควายยังสนามแตก
แล้วนี่ บิ๊กป้อมเห็นในทีวีทีไร เป็นต้องกระย่อง-กระแย่ง พูดอยู่คำเดียว ไม่รู้..ไม่รู้
เมื่อหาญมาปราศรัยถิ่นนักพูดแดนใต้ ก็อยากรู้-อยากฟัง อยากเห็นบิ๊กป้อม “ตัวเป็นๆ” ก็เลยแห่แหนมากันสุดลูกหู-ลูกตา
ส่วนจะเลือกใครในวันที่ ๑๖ มกรา.นั้น ชาวบ้านมีอยู่ในใจแล้ว ก็แค่มาฟังเท่านั้น อย่างนี้ก็อาจเป็นได้
หรือมา เพราะบารมี “บิ๊กป้อม-บิ๊กธรรมนัส” ก็เป็นได้ ได้ยินพรรคพวกเมืองใต้เขามาคุยวัน-สองวันนี้เหมือนกัน ว่า
“ปัจจัยชี้ขาดการเลือกสส.คนใต้เดี๋ยวนี้ มี “ปัจจัยใหม่” เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่เหมือนก่อนแล้ว”
จริง-ไม่จริง อีก ๖ วันรู้กัน!?
จากบรรยากาศแฟนๆต้อนรับ มาฟัง “บิ๊กป้อม-บิ๊กธรรมนัส” เนืองแน่นทั้ง ๒ ที่ จะนำไปสู่ความคิดที่ว่า “ไม่ต้องมีตู่ กูก็ชนะ” หรือไม่
นี่ ตรงนี้ “น่าคิด-น่าจับตา”!
พรรคไหนชนะ ไม่ใช่ประเด็นหลัก ที่ยกมาคุย ประเด็นอยู่ตรงว่า ประชาธิปัตย์ซึ่งทุกวันนี้ “ร่วมแต่กายใจไม่ร่วม” นับแต่แรกแล้ว
จากที่พลังประชารัฐลงไปชิงในลักษณะ “รานน้ำใจ” ใช้ความเหนือกว่าเข้าหักหาญเอานั้น
อย่าว่าแต่ประชาธิปัตย์เลย….
ทุกพรรคร่วม ไม่ว่าภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา พลังท้องถิ่นไท และฯลฯ เขาจะคิดยังไง?
แล้วจะ “ร่วมเป็น-ร่วมตาย” กอดคอกันตลอดไปได้หรือ ขนาดประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ ยังไร้น้ำใจขนาดนี้ แล้วพรรคเล็ก-พรรคน้อยอื่นๆ จะมีความหมายในสายตาเขาสักเท่าไหร่?
หรือพลังประชารัฐ “ป้อม-ธรรมนัส” มีดีลกับพรรคใหญ่อย่าง “เพื่อไทย” เรียบร้อยแล้ว?
จึงไม่แยแสสนใจ “พรรคกระจิบ-กระจอก” ที่จะเผื่อเหลือ-เผื่อขาดในวันข้างหน้า
มันก็น่าคิดนะ เพราะ “มีเค้า” อยู่!
“ธรรมนัส” น่ะ ไม่น่าห่วง ด้วยเส้นทาง ด้วยวัย ด้วยวิสัยของเขา “ทางอยู่-ทางเลือก-ทางไป” มีเป็นร้อย
ห่วงแต่ “พลเอกประวิตร” เท่านั้นแหละ
“หลงทาง” ยังพอถามไถ่
“หลงใจ” ไปกับป้อยอ แล้วอีก ๒ ป.จะถือว่า “ใครทิ้งใคร”?