ก็เข้าใจ “คุณปรีดี ดาวฉาย”
กับการไม่ทนกับนักการเมืองบางคนใน ครม.ถึงขั้น “ลาออก” หลังนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคลังไม่ถึงเดือน!
นักการเมือง “บางคน” ที่ว่านั้น คือใคร?
ไม่ใช่เรื่องลี้ลับ-ปกปิด เพราะเป็นที่ทราบต่อสาธารณะมาตั้งแต่ประชุมครม.สัปดาห์ก่อนแล้ว
ประเด็นรองรัฐมนตรีคลัง “นายสันติ พร้อมพัฒน์” ขัดแย้งรัฐมนตรีคลัง “นายปรีดี” เรื่องตัวคนที่จะแต่งตั้งเป็น “อธิบดีกรมสรรพสามิต”
นั่นแค่จุดปะทุ!
จริงๆ แล้ว ก็เป็นที่คาดการณ์กันล่วงหน้าแล้วว่า ไม่ช้า-ก็เร็ว รัฐมนตรีคลังกับรัฐมนตรีช่วยคลัง ต้องแตกหัก!
เพราะนายสันติ ถือว่ารัฐบาลเกิดจากการลงทุน-ลงแรงของพรรคพลังประชารัฐ และเขาเป็นผอ.พรรค
ส่วนนายปรีดี เป็นคนนอกพรรค นายกฯเลือกเข้ามา พรรคไม่ได้เลือก พรรคไม่ได้ประโยชน์อะไรจากตำแหน่งนี้
เรียกว่า ไม่ว่าใคร …….
มานั่งเหนือคนพรรค ถูกตั้งแง่ทั้งนั้น!
มันเป็นสันดานคิดพื้นฐานของนักเลือกตั้งระบบพรรคไม่ว่าเก่า-ว่าใหม่ เหมือนกันทั้งนั้น
ตอนยังไม่มีโอกาส ก็บอกการเมืองเพื่อบ้าน-เพื่อเมืองแต่พอมีโอกาสเข้าไป ก็เปลี่ยนเป็น “การเมืองเพื่อธุรกิจการเมือง”
ฉะนั้น ยาก…
ที่คน “นอกพรรค-นอกการเมือง” อย่างนายปรีดีเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ ขณะที่นายสันติผู้ลงทุน-ลงแรงของพรรค กลับเป็นแค่รัฐมนตรีช่วยฯ
นายปรีดี ไม่ใช่นักการเมืองโดยอาชีพ ทั้งไม่ได้ขอเข้ามา หากแต่ถูกขอร้องให้เข้ามา
การเป็นรัฐมนตรีคลัง ไม่ใช่เรื่องโชควาสนาบารมีพึงประสงค์ ในทัศนะนายปรีดี
แต่เป็นการ “เสียสละ” ชีวิตส่วนตัว, อาชีพการงานที่มีพร้อมอยู่แล้ว เข้าไปช่วยประเทศชาติผ่านรัฐบาล ในภาวะวิกฤตรอบด้านของประเทศ และของโลก
ปัญหาเศรษฐกิจ-การคลังขณะนี้ ก็ยากอยู่แล้ว แต่เมื่อเจอ “ตัณหานักเลือกตั้ง” มุ่งแต่ธุรกิจการเมืองเป็นธงนำนี่ซี
นายปรีดีคงคิด…….
ในรางหญ้า ไม่ใช่ภพภูมิที่ต้องไปแย่ง กับวงจรธุรกิจแบงก์ ว่ายากและเหนื่อยสมอง แต่ไม่มีคนประเภทนี้ “ถ่วงโลก”!
เป็นรัฐมนตรีได้กี่วันล่ะ รับตำแหน่ง ๖ สิงหา.ลาออก ๑ กันยา.
เฮ้อ…!
จะบอกว่าเห็นใจนายกฯ และให้ท่านอดทน ก็ไม่อยากบอก เพราะถึงอย่างไร ท่านก็ต้องทนอยู่แล้ว นี่แค่วันที่ ๓ ที่ ๔ ในการว่ายมหาสมุทรเท่านั้นเอง
ยังหรอก ยังต้องแหวกว่าย สำลักน้ำ-สำลักคลื่นไปอีก ๓ ทิวา-ราตรี จึงจะผ่านด่านวิบาก ขึ้นฝั่งไปด้วยตบะบารมี
แต่ผมไม่เข้าใจ “พลเอกประวิตร”
ท่านเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรค ด้วยลูกพรรคศรัทธาจริงๆ หรือหวังใช้เป็น “ใบปะหน้า” เท่านั้น
โดยลากเข้าไปอุปโลกน์เป็นหัวตอ ไม่มีความหมายในทางเชื่อฟังอะไร ในความเป็นหัวหน้าพรรค?
ปัญหา กระทรวงคลังของข้า ใครอย่ามาแตะ
ไม่ใช่เพิ่งเกิด ……..
มันเกิดเป็นสัญญานล่วงหน้ามาแต่ครม. อังคารก่อน จนต้องถอนวาระแต่งตั้งอธิบดีกรมสรรพากรไปครั้งแล้ว
ในฐานะหัวหน้าพรรค “ลุงป้อม” ควรพูดกับนายสันติให้รู้เรื่อง ทั้งควรจัดการให้นายปรีดีกับนายสันติได้คุยกันในฐานะรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีช่วย
มนุษย์กับมนุษย์ น่าจะเข้าใจกันได้ในความเป็นผู้ใหญ่
หรือคุยกันแล้ว…
บิ๊กป้อมก็ต้องการอย่างที่นายสันติต้องการ เป็นเนื้อผสมน้ำ ประชุมอังคารนี้เมื่อวาน จึงลงเอยด้วยแตกหัก!?
การแต่งตั้ง “นายลวรณ แสงสนิท” เป็นอธิบดีสรรพสามิต ด้วยฝีมือ ผลงาน ความเป็นข้าราชการรุ่นใหม่ทันโลก-ทันยุค สมควรต้องส่งเสริมข้าราชการเช่นนี้ ผมเห็นว่า เหมาะสม ถูกต้องที่สุด
มีตำหนิอะไร-ตรงไหนหรือ ที่นายสันติและลุงป้อมเห็นว่าไม่เหมาะสม, ไม่ถูกต้อง ลองอธิบายกับสังคมซิ
แต่เมื่อวาน ผลลงเอย……
ปรีดีแพ้, ลุงป้อมแพ้, นายกฯ แพ้ นายสันติ รัฐมนตรีช่วยคลัง “ใหญ่คนเดียว” เป็นผู้ชนะ!?
ก็น่าชนะ ……
ตอนยกก๊วนจาก “เสี่ยเพ้ง-เพื่อไทย” มาพลังประชารัฐ ก็ตั้ง ๒๐-๓๐ คน ที่เพชรบูรณ์กวาดยกจังหวัด ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ก็ของสันติ
อะไรๆ ก็สันติ “กระเป๋าพรรค” ก็สันติ ประมาณนั้น!
แต่สันติได้เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยคลัง”
ทั้งที่ตอนอยู่พรรคทักษิณ เป็นถึง “รัฐมนตรีว่าการคมนาคม” ในรัฐบาลสมัครและรัฐบาลนายสมชาย
ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยังได้ว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมฯ
ย้ายขั้วมาพลังประชารัฐ เหมือนลงทุนข้าวเปลือกไปตั้งกำมือ นึกว่าจะได้ปลากะพง กลับได้แค่ปลาแขยง!
มันปุดๆ อยู่ในใจเป็นทุนเดิมแต่สมัย “สมคิด-อุตตม” หยิบชิ้นปลามันไปกินแล้ว
“พลังประชารัฐ” ก็รู้สึกไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่ทึกทักว่า ที่ประชาชนเลือก ได้สส.เป็นร้อย ได้เป็นพรรครัฐบาลขณะนี้
เพราะฝีมือพวกเขา ประชาชนเลือกเขา
พลเอกประยุทธ์ ที่พะหัวพรรคพลังประชารัฐ ใช้หาเสียงกันว่า “นายกฯบัญชีรายชื่อพรรค” นั้น
ไม่เกี่ยว ไม่มีน้ำหนักอะไร
ไม่เป็นศรัทธาบารมีดึงดูดให้ประชาชนเลือกพลังประชารัฐ จนได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
จึงออกฤทธิ์-ออกลาย จนต้องปรับครม. เอาใจกันไป ทั้งที่บวชกันยังไม่ครบพรรษา
ที่รัฐบาลเซไป-ซวนมาจนโรคชิงเมืองแทรกเหมือนเชื้อเริมทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็จากคติ “หมาแย่งน้ำข้าว” นั่นแหละ
ด้วยวิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่กำลังนำไปสู่ “สงครามโลก” เวลานี้
มันทำลายเส้นทางน้ำเลี้ยงเศรษฐกิจประเทศ ทั้งส่งออก ทั้งท่องเที่ยว จนเกิดเป็น “รายได้วิปริต” ในทุกระบบ
หนักสุดกับคนฐานราก คนกินเงินเดือน และผู้ประกอบการขนาดกลาง-ขนาดย่อม
พลังประชารัฐ ควรต้องตระหนักความเป็น “พรรคแกนนำรัฐบาล” ตอนเลือกตั้ง บอกจะเข้าไปทำงานเพื่อประชาชนกันทั้งนั้น
ตอนนี้ ประชาชนแหงนหน้ารอ ด้วยหวังจากคำหาเสียงประโยคนั้น แทนที่สละประโยชน์ตัว หยุดคิดเล็ก-คิดน้อย ดูเงาตัวในแอ่งตีน
ใครมาช่วยก็ควรดีใจ จะได้ช่วยกันแบกล้อประเทศให้ขึ้นจากหล่มเร็วๆ
แต่นี่ แง่งๆๆๆๆ เหมือนหมาหวงน้ำข้าว ทั้งที่ตัวเอง “สุดห่างอึ่ง” ก็แค่นั้น ทั้งไม่อินัง-ขังขอบว่า ลำพังตัวทำได้แค่ไหน ในการที่จะนำประเทศขึ้นจากหล่ม
แต่กูไม่สน ไม่แคร์เวิลด์
สนแต่กันท่า เพื่อและเล็มส่วนที่ยังโผล่พ้นโคลนชนิดไม่ลืมหู-ลืมตาให้ได้มากที่สุดเท่านั้น!
นี่แหละการเมือง “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” เราก็จะได้คนแบบนี้ แบบที่เห็นทุเรศ-ทุรังในสภานั่นแหละ เข้ามาบริหารประเทศ
ตั้งแต่ยุค ๒๕๐๐ จนถึงวันนี้-ยุคนี้ ผมก็เห็นบทบาทสส.ในสภามาพอสมควร ยอมรับเลยว่า “ที่สุดของแจ้” ก็สภายุคนี้แหละ!
แล้วจะเอาใครมาเป็นรัฐมนตรีคลังกันล่ะ?
คนนอกพรรค-นอกการเมือง คงไม่มีใครอยากเข้ามา เพราะรู้แล้ว มีลูกกวนตัว-มีผัวกวนใจ เป็นรัฐมนตรีคลังว่าใหญ่ แต่ต้องอยู่ใต้ตีนรัฐมนตรีช่วย
นอกจากคนนั้น ต้องเก๋าและถึงเกมกับพวกการเมืองจริงๆ เหมือน “นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์” ที่มาเป็นรัฐมนตรีอุดมศึกษาฯ
มันเป็นเกม “วัดใจ-วัดสายตา” นายกฯ อีกครั้ง ว่าจะเล็งญานเห็นใครแบบนั้นเข้ามาอยู่ในข่ายที่จะไปเชิญมานั่งเก้าอี้คลังตัวนี้
ไม่รู้ “ช้าง” ที่หน้ากระทรวงคลังอยู่ที่เดิม หรือท่านบรรหาร ศิลปอาชา สมัยเป็นรัฐมนตรีคลังย้ายไปไว้ตรงไหนก็ไม่ทราบ
ช้างตัวนี้ เป็นช้างอาถรรพณ์….
ใครจะมานั่งคลัง เอากล้วย-อ้อย ไปถวายท่านซักถาด แล้วบอกเจตนาในการเข้ามาทำงานให้ท่านรับรู้ น่าจะราบรื่น นี่ผมว่าเองนะ
หาใครไม่ได้ ไม่มีใครยอมมา ก็ให้พลเอกประวิตรหรือไม่ก็นายสันติเขาขึ้นว่าการซะเอง จะได้ล้างตาประเทศซะที
เอาคนนอกมา เดี๋ยวมีอะไรต้องโหวตในสภา สส.พลังประชารัฐเขาบกพร่องโดยสุจริต ลืมยกมือ หรือมายกให้หรอมแหรม
มันจะพังทั้งรัฐบาล หน้าแหกถึงนายกฯ!
ยุ่งนัก ก็คืนโควตารัฐมนตรีคลังให้พรรคเขาไป หรือคืน “นายกฯ บัญชีพรรค” ให้เขาไปด้วย เขาก็คงดีใจ
เลือกตั้งใหม่…….
บิ๊กป้อม “หัวหน้า” เป็น “นายกฯ บัญชีพรรค” ตานี้แหละ ใครเอาตำแหน่งไหน ใครขอตำแหน่งให้ใคร
ได้หมด..สดชื่น!