ผักกาดหอม
นโยบายรัฐบาล หมายถึง ภารกิจที่รัฐบาลจะทำหลังเข้าบริหารประเทศ
แต่โดยมากนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภานั้น แทบจะทุกรัฐบาลทำได้ไม่เกินครึ่ง
ซ้ำร้ายบางรัฐบาลกลับทำในสิ่งที่ไม่ปรากฏในนโยบาย
หรือสวนทางกับนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาไว้อย่างสิ้นเชิง
เช่น การคอร์รัปชัน
หลายวันมานี้ คำแถลงนโยบายรัฐบาลแพทองธาร ถูกตั้งข้อสังเกตไว้หลายจุด หลายนโยบายว่าอาจซ้ำรอยรัฐบาลทักษิณในอดีต คือการใช้อำนาจเกินขอบเขต
เช่นการทำสงครามยาเสพติด ที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมโหฬาร
รวมทั้งนโยบายประชานิยม ที่สร้างภาระหนี้ให้ประชาชนตามมาทีหลังอย่างมากมาย
ล่าสุดเกิดคำถาม นโยบายสร้างความปรองดองของคนในชาติ หายไปไหน
“สุริยะใส กตะศิลา” อดีตหัวหน้าม็อบ สงสัยว่าทำไม นโยบายรัฐบาลแพทองธาร จึงไม่พูดถึง นโยบายการสร้างความปรองดองเลย
แต่ตอนตั้งรัฐบาลพูดไม่ขาดปาก อ้างตั้งรัฐบาลข้ามขั้วเพื่อความปรองดอง
“ไม่มีนโยบายปรองดอง ในวันที่ทักษิณเป็นผู้บริสุทธิ์” ระบุว่า ตามอ่านนโยบายเร่งด่วน ๑๐ ข้อของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ทั้งนโยบายระยะกลางและระยะยาวหลาย ๑๐ หน้าแล้ว
แปลกใจว่า นโยบายปรองดอง หายไปไม่ปรากฏแม้แต่บรรทัดเดียว
ทั้งที่เรื่องปรองดองเป็นข้ออ้างสำคัญในการตั้ง “รัฐบาลข้ามขั้ว” เป็น “รัฐบาลพิเศษ” เพื่อการปรองดอง ในช่วงที่มีการตั้งรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งต่อมาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาศึกษาการตรากฎหมายนิรโทษกรรม
ซึ่งได้ทำรายงานเสนอต่อสภาเรียบร้อยแล้ว เรื่องก็เงียบหายไป
แต่สูตรรัฐบาลข้ามขั้วเพื่อการปรองดองก็ถูกใช้ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลแพทองธาร ที่เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ ๑๒-๑๓ กันยายน ปรากฏว่าไม่มีนโยบายเกี่ยวกับการปรองดอง แม้แต่บรรทัดเดียว!!
ทั้งที่ความขัดแย้งแตกแยกในสังคมยังเป็นเรื่องใหญ่และกระทบต่อเอกภาพของคนในชาติและกระบวนการผลักดัน นโยบายสาธารณะที่สำคัญๆ ก็จะมีปัญหา
หรือว่าสุดท้ายแล้ว ปรองดองเป็นแค่ “วาทกรรม” ของกลุ่มก้อนการเมืองเพื่อแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ภายในกันเองเท่านั้น
ที่สำคัญก็อดคิดไม่ได้ว่า นโยบายปรองดองอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปสำหรับรัฐบาลชุดนี้ เพราะในเมื่อคุณทักษิณพ้นขวากหนามของคดีความและกลายเป็น “ผู้บริสุทธิ์” ไปเรียบร้อยแล้ว!
เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจมากทีเดียว
รัฐบาลคิดอะไรอยู่?
ใช่ตามที่ “สุริยะใส” ตั้งข้อสังเกตหรือไม่
นึกถึงวันที่ “ทักษิณ” บอกกับมวลชนเสื้อแดงปี ๒๕๕๕ ว่า…
“…พี่น้องนี่ทำมาเยอะแล้ว แต่เมื่อทำมาถึงจุดหนึ่ง ก็หมายความว่า เหมือนกับผมจะว่ายน้ำ ผมจะข้ามฝั่ง พี่น้องแจวเรือพาผมข้ามฝั่งมา ถึงฝั่งเรียบร้อยแล้ว ผมต้องเดินทางต่อขึ้นภูเขา พี่น้องจะแบกเรือมาขึ้นภูเขาทำไม ถึงเวลาที่ผมจะขอนั่งรถขึ้นเขา
แต่ผมไม่เคยลืมคนที่ขับเรือมาส่งผม แล้วผมจะต้องหันกลับไปขอบคุณคนที่ขับเรือมาส่งผม เหตุการณ์มันเปลี่ยน พัฒนาการมันเปลี่ยน
ก็หวังว่าพี่น้องคงจะเข้าใจว่าวันนี้เราได้ทำหน้าที่ของเรามาสุดทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าเลิกทำหน้าที่ ต้องดูต่อไปว่า ใครเบี้ยว ใครมากระชากประชาธิปไตยเราอีก ใครกำลังจะยัดเยียดความไม่เป็นธรรมต่ออีก…”
คราวนี้ดูเหมือนว่าเดินขึ้นภูเขาไปเรียบร้อยแล้ว ลืมคนที่ยังลอยคออยู่ในแม่น้ำ
แต่เหตุการณ์มันเปลี่ยนจริงๆ ครับ เปลี่ยนไปมาก
วันนี้ “ทักษิณ” ได้ใบบริสุทธิ์แล้ว แต่แกนนำมวลชน และมวลชนทุกสีเสื้อ ยังติดคดีอยู่อีกมากมาย เขาก็รอเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เหมือนกัน
แต่รัฐบาลไม่มีนโยบายนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พูดกันสามเวลาหลังอาหาร จะต้องผลักดันการนิรโทษกรรมให้ได้
ทำไม “มาดาม” ถึงไม่เขียนไว้ในนโยบายรัฐบาล
ในคำแถลงที่ “มาดามแพ” จะชี้แจงในสภานั้น กลับพบบางประเด็นที่ไม่ควรเอามาประกอบการแถลงนโบาย เช่น การระบุว่า…
“…ประเทศไทยเราเผชิญกับความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมาอย่างยาวนานอันเป็นผลจากการรัฐประหาร ความขัดแย้งแบ่งขั้วที่รุนแรง รวมถึงการถอดถอนรัฐบาลออกจากอำนาจในแบบที่คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทยได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…”
ยังแค้นศาลรัฐธรรมนูญอยู่หรือครับ
ถึงได้ลากมาตบในสภาซ้ำอีก
การถอดถอน นายกฯ เศรษฐา มีคำอธิบายไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มันไม่ใช่เรื่องคาดเดาไม่ได้
เสียงเตือนการตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีมันมีมานานแล้ว รัฐบาลเศรษฐาเองก็ไม่แน่ใจ ถึงได้ตั้งประเด็นไปถามกฤษฎีกา
แล้วแบบนี้จะอ้างว่า คาดเดาไม่ได้ ได้อย่างไรกัน
เรื่องรัฐประหารก็เช่นกัน
ก็เพราะรัฐบาลระบอบทักษิณ มักไปสร้างเงื่อนไขให้มีการรัฐประหาร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอร์รัปชัน ที่บานปลายกลายเป็นความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ล้วนเข้าทางให้มีการรัฐประหาร ทั้งสิ้น
ลองคิดกลับกันบ้างสิครับ
หากรัฐบาลไม่คอร์รัปชัน สร้างความปรองดองเป็นที่ประจักษ์ ทหารหน้าไหนจะกล้ารัฐประหาร
ทำก็เจอไม้หน้าสามสิครับ!
อีกประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเหมือนรัฐบาลกำลังด่าตัวเอง นั่นคือในคำแถลงนโยบายที่ระบุว่า
“…แม้ว่าการบริหารงานของรัฐบาลจะเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน อันเป็นปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่สั่งสมต่อเนื่องมากว่า ๑๐ ปี และถูกซ้ำเติมด้วยโควิด-๑๙ ทำให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศอยู่ในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไร้ซึ่งมาตรการทางการเงินและการคลังที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ คาดว่าประเทศจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะของประเทศใกล้เต็มเพดานที่ร้อยละ ๗๐ ของ GDP ในปี ๒๕๗๐ จึงเป็นความท้าทายอันยิ่งยวดที่รัฐบาลจะต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาเติบโตอย่างเข้มแข็งอีกครั้งโดยเร็ว โดยการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะเพิ่มรายได้ทั้งในระดับประเทศและระดับปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การพัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ การยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ รวมถึงการเร่งบริหารทรัพย์สินของรัฐให้ได้ประโยชน์สูงสุดซึ่งการดำเนินการต่างๆ เหล่านั้นจะกลายเป็นเม็ดเงินกลับเข้าสู่ระบบภาษี และจะกลับกลายเป็นศักยภาพทางนโยบายการคลัง (Fiscal Space) ที่เพียงพอสำหรับการเป็นแกนหลักในการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต…”
ที่รัฐบาลกู้เพิ่มมากเป็นประวัติการณ์ เอาไปผลาญกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต มันใช่สิ่งที่ระบุข้างต้นหรือไม่
เกรงว่าไม่มีโควิดแล้ว แต่รัฐบาลแพทองธาร จะสร้างความฉิบหายทางงบประมาณ หนักกว่าช่วงโควิดระบาดเป็นเท่าตัว
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ