ผักกาดหอม
ปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน…
ฟาดกันปากแตก เลือดยังหยดติ๋งๆ
จูบปากกันซะแล้ว
“ปิยบุตร” กับ “พิธา” นี่เหลือเกินจริงๆ ยกรางวัลตุ๊กตาทองคำให้ซะเลยจะดีมั้ย
แต่ก็แสดงความยินดีกับมิตรรักแฟนเพลง พรรคก้าวไกล และคณะก้าวหน้า ด้วยครับ พวกท่านได้ผู้นำตรงปก
เล่นกับกระแสโซเชียลเก่งเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือใช้พฤติกรรมนักการเมืองโบราณได้อย่างเนียน
คือ…ในอดีต เวลานักการเมืองเขาแทงหลังกันเลือดสาด หลายครั้งก็ต้องกลับมาจูบปากกันแบบนี้แหละครับ
เพราะเขายังต้องรักษาผลประโยชน์ที่มีร่วมกันอยู่
แต่หมดประโยชน์เมื่อไหร่กะซวกกันใหม่
ปมขัดแย้งระหว่าง “ปิยบุตร” กับ “พิธา” มันลึกเกินกว่าที่จะมานั่งจิบเบียร์คนละไม่กี่แก้ว แล้วเคลียร์เรื่องราวได้ทั้งหมดจนเป็นที่เข้าใจ
ที่เห็นกอดคอ แล้วบอกว่า จบแล้ว มันแค่แก้ภาพความขัดแย้งที่ปรากฏในโซเชียลโดยฝีมือของทั้งคู่
ไม่ได้แก้ที่เนื้อหา
“พิธา” ก็เผลอบอกเองว่า “คือการถอยเพื่อที่จะก้าวกระโดด”
มันจึงไม่ใช่เรื่องของการปรับความเข้าใจ แล้วเข้าใจตรงกัน
แต่เป็นการคุยกันเพื่อ “ถอย”
ส่วน “ปิยบุตร” ก็อธิบายแบบ “ปิยบุตร”
โพสต์ในเฟซบุ๊กแบบนี้ครับ….
…[ว่าด้วยความขัดแย้ง – เหมาเจ๋อตุง]
“ปัญหาลักษณะทั่วไปหรือลักษณะสัมบูรณ์ของความขัดแย้งนั้นมีความหมายอยู่ ๒ ด้าน ด้านหนึ่ง คือ ความขัดแย้งดำรงอยู่ในกระบวนการแห่งการพัฒนาของสิ่งทั้งปวง อีกด้านหนึ่ง คือ ในกระบวนแห่งการพัฒนาของแต่ละสิ่งมีการเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งกันดำรงอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ
เองเกลส์กล่าวว่า “ตัวการเคลื่อนไหวเองนั่นแหละ คือความขัดแย้ง”
เลนินให้คำนิยามเกี่ยวกับกฎแห่งความเป็นเอกภาพของด้านตรงกันข้ามว่า ก็คือการ “ยอมรับ (ค้นพบ) ว่า ปรากฏการณ์และกระบวนการทั้งปวงของโลกธรรมชาติ (รวมทั้งจิตและสังคม) ล้วนแต่มีแนวโน้มที่ขัดแย้งกัน ผลักไสกัน และเป็นปรปักษ์ต่อกัน”
ความเห็นเหล่านี้ถูกต้องไหม? ถูกต้อง การพึ่งพาอาศัยกันและการต่อสู้กันของด้านที่ขัดแย้งกันซึ่งมีอยู่ในสิ่งทั้งปวงนั้น กำหนดชีวิตของสิ่งทั้งปวง และผลักดันให้สิ่งทั้งปวงพัฒนาไป ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีโลก
การเป็นปฏิปักษ์และการต่อสู้กันระหว่างความคิดที่ต่างกันภายในพรรคมักเกิดขึ้นเสมอ
ทั้งนี้เป็นการสะท้อนเข้ามาในพรรคของความขัดแย้งระหว่างชนชั้นในสังคมและความขัดแย้งระหว่างสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ ถ้าภายในพรรคไม่มีความขัดแย้งและการต่อสู้ทางความคิดที่แก้ความขัดแย้งแล้ว ชีวิตของพรรคก็จะสิ้นสุดลง” ….
สรุปสั้นๆ ความขัดแย้งเป็นการพัฒนา
“ปิยบุตร” กำลังบอกว่า การปะทะกันของเขากับ “พิธา” คือการพัฒนาทางความคิด
ถ้าไม่ขัดแย้งพรรคก็จบ
สมกับเป็น “ปิยบุตร” ครับ
อุดมการณ์เชิงจินตนาการยังแกร่งกล้าเหมือนเดิม
เอาไว้ดูหลังเลือกตั้งเถอะครับ “ปิยบุตร” จะซัด “พิธา” หนักกว่านี้
เพราะผลเลือกตั้งจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้
แล้วมันจะเป็นช่วงเวลาหาคนผิด
“พิธา” จะเป็นคนผิดในสายตา “ปิยบุตร”
เพราะ “ปิยบุตร” เชื่อแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น ถึงได้เขียนทั้งแนะนำและตำหนิ “พิธา” ผ่านโซเชียลมานานหลายเดือนแล้ว
มาที่เรื่องใหญ่ก่อนเลือกตั้ง ป.ป.ช.ทำให้นักการเมืองกลัวกันหัวหดเลยทีเดียว
วานนี้ (๒๓ กุมภาพันธ์) มีข่าวจาก ป.ป.ช.ว่ากำลังลับมีดฟัน ๖ ส.ส.กับอีก ๑ ส.ว.
คดีครอบครองที่ดินโดยมิชอบ
๖ ส.ส. กับ ๑ ส.ว. น่าจะรู้ตัวแล้วว่าไม่รอดแน่
ดูกรณี “กนกวรรณ วิลาวัลย์” อดีต รมช.ศึกษาธิการ เป็นตัวอย่างได้เลย ป.ป.ช.ใช้เวลาไต่สวนแค่ ๖ เดือน ปิดบัญชีได้เลย
เพราะการพิสูจน์ว่าครอบครองที่ดินหรือไม่ มันไม่ยาก
ส่งศาลฎีกาได้เร็วก็จบเร็ว
๖ คนมีใครบ้าง ได้ข่าวแว่วๆ มีนักการเมืองใหญ่ นิสัยเสียชอบรุกป่า รุกที่ รวมอยู่ด้วย
รับรองงานนี้แม่ยกน้ำตาไหลพราก คิดไม่ถึง คนที่ชอบยกยอตัวเองว่าใจซื่อมือสะอาด จะมีนิสัยเยี่ยงโจร
แต่…การเคลื่อนไหวของ ป.ป.ช. ช่วงนี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้
วันก่อนข่าวจากสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไม่ยอมเซ็นชื่อในหนังสือของพรรคก้าวไกล เพื่อยื่นประธานรัฐสภา เสนอต่อประธานศาลฎีกา ให้พิจารณาตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ สอบถามข้อเท็จจริงกับ ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๓๖
ในกรณีไม่ชี้มูลความผิดใน ๒ กรณี คือ
ประเด็นนาฬิกาเพื่อนของ “ลุงป้อม”
กับกรณี การไม่ชี้มูลความผิดระดับผู้สั่งการ กรณีสั่งซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT200
ส.ส.เพื่อไทยให้เหตุผลว่า เพราะมีสมาชิกพรรคและเครือญาติที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นทั้งระดับ อบต.และ อบจ. มีประเด็นถูกร้องเรียนไปที่ ป.ป.ช.เป็นจำนวนมาก ซึ่งการยื่นถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมด เกรงว่าจะมีปัญหาตามมาในอนาคต
ประกอบกับเข้าสู่ช่วงใกล้จะเลือกตั้งแล้ว จึงไม่อยากสร้างปัญหาหรือกับดักที่อาจจะตามมาในอนาคตอีกต่อไป
ข้ออ้างนี้มีข้อเท็จจริงอยู่เหมือนกัน
ช่วงนี้ ป.ป.ช.มีหนังสือไปยังคนใน อบต. อบจ. รับทราบข้อกล่าวหาทุจริตอยู่บ้างเหมือนกัน แต่จะถึงขั้นกาหัวนักการเมืองฝ่ายค้านหรือเปล่า
ตอบยากครับ
แต่ประเด็นอยู่ที่มีการคอร์รัปชันอย่างกว้างขวางในองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจริง
ไม่ทราบว่าเรื่องอยู่ในมือ ป.ป.ช.กี่จังหวัด แต่มีโกงกันแทบทุกจังหวัด
แล้วคนใน อบต. อบจ. ส่วนใหญ่ก็เป็นคนของ ส.ส.ในพื้นที่
เป็นเมียบ้าง ผัวบ้าง ลูกบ้าง ญาติบ้าง สมุนก็มีเยอะ
ที่สำคัญเป็นหัวคะแนน
ว่ากันตรงๆ ในความคิดของ ส.ส.พวกนี้ เกรงว่าหากไปเล่นงาน “ลุงป้อม” จะถูกสวนคืนเอาง่ายๆ
โดนแล้วก็เท่ากับถูกบล็อกหัวคะแนน
สอบตกเอาง่ายๆ
เป็นไงครับ…โกงในโกง
แล้วคนโกงก็กลับมา
