ศาลเตี้ย “บุหรี่ไฟฟ้า” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

กฎหมาย คืออะไร?
กฎหมายคือ “ตัวหนังสือ” ในทางปกครอง
มีขึ้นเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานควบคุม ร้อยรัดสังคมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันโดยไม่เอารัดเอาเปรียบ และไม่รังแกข่มเหงกัน
ส่วนจะยุติธรรม หรือ ไม่ยุติธรรมเป็นธรรม ไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย
หากแต่อยู่ที่ “ความรับรู้” ของคน ๒ ส่วน

ส่วนหนึ่งคือ ผู้นำกฎหมายไปใช้
อีกส่วนคือ ผู้ถููกกฎหมายบังคับใช้

ฉะนั้น ในการพิพากษาคดีหนึ่งๆ เราจะเห็นว่า มีทั้งฝ่ายบอกว่า “ยุติธรรม” และฝ่ายบอกว่า “ไม่ยุติธรรม” เสมอ
เพราะนั่นคือ “มนุษย์”

“ความถูกต้อง” กับ “ความถูกใจ” ดูเหมือนมันจะไปด้วยกันได้ แต่ไม่เคยไปด้วยกันได้เลย ในความเป็นกฎหมายกับความเป็นจิตมนุษย์

ถ้าประเทศไหนมีกฎหมายมากๆ แล้ว ประเทศนั้นสังคมเป็นสุขและเป็นธรรม

ผมว่า โลกใบนี้ เป็น “โลกทิพย์” ไปนานแล้ว
เพราะมนุษย์ต้องเป็นสุขกันถ้วนหน้า ไม่มีสงครามอาวุธ สงครามการค้า สงครามเศรษฐกิจ และสงครามการเมือง
โดยเฉพาะ “ประเทศไทย” เรา…..

ถ้ามีการสำรวจ ผมมั่นใจ ประเทศเราต้องติดอันดับ “ประเทศมีกฎหมายมากที่สุดในโลก” แน่นอน!

สิ่งที่ผมต้องการสื่อวันนี้ คือ
กฎหมายนั้น ใช้ควบคุมได้ “ทางกาย” เท่านั้น ไม่สามารถควบคุม “ทางจิตใจ” ได้

แต่ทีนี้ มนุษย์เหมือนเรือ มันจะวิ่งได้ ก็ต้องใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน เครื่องยนต์ก็คือ ความรู้สึก-นึก-คิด ที่เรียกว่า “จิตใจ”

มนุษย์ทุกคนก็เช่นนั้น ร่างกาย มันควบคุมด้วยจิตใจ
แต่เราเน้นแต่ “กฎหมาย” ควบคุมกาย

ขณะเดียวกัน ละทิ้ง “กฎธรรม” สำหรับใช้ควบคุมจิตใจ ซึ่ง “กฎธรรม” นั้น เป็นสิ่งเดียวที่ธรรมชาติมีให้….
เพื่อจำแนก “สัตว์มนุษย์” ให้ต่างกับ “สัตว์เดรัจฉาน”!

แต่น่าเสียดาย โลกวัตถุพัฒนาสูงขึ้นเท่าไหร่ โลกธรรมในจิตมนุษย์กับต่ำลงมากเท่านั้น

ความจริง ธรรมชาติ “สร้างสมดุล” มาให้พร้อมกันด้วยแล้ว แต่มนุษย์เลือกจะใช้ชีวิตแบบ “ขาดสมดุล” กันเอง

ดังนั้น ไม่เพียงไทยเรา หากแต่ “ทั้งโลก” ปัญหาจึงเกิด และปัญหานั้น ก็ไม่ได้เกิดเอง หากแต่มนุษย์นั่นแหละ เป็นผู้ทำให้เกิด

สมดุลที่ธรรมชาติสร้างมาให้คู่กับมนุษย์คืออะไร?
“ศาสนา” นั่นไงล่ะ

ทุกศาสนาแหละ ทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ซิกส์ และ ฯลฯ บรรดามีในสังคมโลกมนุษย์
ต่างกันเพียงวิธีการและรูปแบบ แต่เป้าหมายเดียวกัน คือ สอนให้มนุษย์เป็นคนดี อยู่ร่วมกันแบบสันติ

ไม่เบียดเบียน ไม่ข่มเหงทำร้ายกัน เอื้อเฟื้อเผือแผ่กัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ละเว้นบาป สร้างทางบุญ

ทุกศาสนา “มีสวรรค์-มีพระเจ้า” ในทางของตนเป็นทางไปสู่เหมือนกันทุกศาสนา
สรุป “ทุกศาสนา” สอนให้คนดี!

ถ้าแต่ละชาติ “มีคนดี” มากๆ กฎหมายก็แทบ “ไม่มีความจำเป็น” จริงไหม?
เมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนา มหาภัยพิบัติจึงเกิด!

เพราะเมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ คืนสภาพ “สัตว์เดรัจฉาน” ในร่าง “สัตว์มนุษย์”
กฎหมาย “ก็ไร้ความหมาย”

ใครเคยเห็น “สัตว์เดรัจฉาน” กลัวกฎหมาย กลัวติดคุกมั้ยล่ะ?
ถ้ากลัว ด้วยมี “กฎธรรม”อ ยู่ในใจบ้าง ….

บางพรรคนักการเมือง จะมีนโยบาย “โกงเอามาแบ่งกัน” เกิดขึ้นหรือ?
จนเป็นค่านิยมถึงทุกวันนี้ ……
ใครไม่โกง นั่นตะหาก คือ “ตัวประหลาด”!

การทุจริต-คอร์รัปชัน รีดไถสังคม กินสินบาท-คาดสินบน ในวงราชการ จึงแตกหน่อ-ขยายพันธุ์ เป็นเรื่องปกติในระบบราชการว่า “ที่ไหนเขาก็ทำกัน”
คนไม่ทำ คือ “ไม่โกงตามเขาไป” นั่นแหละ”คนโง่!

ผมจึงเห็นว่า การปฎิรูปสังคม, ปฎิรูประบบราชการ การมุ่งเน้นใช้ระบบ “กฎหมาย” เป็นเครื่องมืออย่างเดียว
มันก็คือการ “เพิ่มขยะ” อีกชิ้นลงใน “ถังขยะกฎหมาย” เท่านั้น

ควรต้องเอา “กฎธรรม” เข้ามาใช้ควบคู่กับ “กฎหมาย” ในทางบริหารและปกครองด้วย นั่นแหละ จึงจะเป็นการ “สร้างสมดุล” ทางสังคมชาติ

กฎหมายอย่างเดียว ไม่มีกฎธรรม สังคมจะแข็งกระด้าง
ถ้าใช้กฎธรรมอย่างเดียว ไม่เจือกฎหมาย สังคมก็จะอ่อนปวกเปียก

ดังนั้น การ “สร้างสมดุล” ด้วยนำทั้งสองส่วนประยุกต์เสริมสร้าง สังคมชาติจะ “ดุลยธรรม” ลงตัวพอดี!

ผมเห็น ๖ ตำรวจที่เข้าคุกระหว่างคดีรีดไถดาราไต้หวันวันก่อน ได้อ่านคำสั่ง “ให้ออกจากราชการ” ไว้ก่อน เห็นอัตราเงินเดือนแล้ว
จึงไม่แปลกใจว่า ทำไม “ตำรวจโจร” จึงเหมือนดอกเห็ดทุกหย่อมหญ้า

ระดับร.ต.อ.ยัง ๒-๓ หมื่น ระดับนายสิบ หมื่นห้าขึ้นไป
ถามว่า “มากหรือน้อย”?

กับระบบราชการ “ไม่มาก” แต่ก็ “ไม่น้อย” พอดีตามอัตภาพสังคมข้าราชการ ซึ่งมีทั้งหมดหลายล้านคน
ขึ้นต้นเหมือนน้อย …….
แต่นานไป ยิ่งใกล้เกษียณ กลับยิ่งมากและมั่นคงกว่าคนทำงานบริษัท-ห้างร้าน

แถมมี “บำเหน็จ-บำนาญ” และสิทธิประโยชน์ต่างๆ นอกจากตัวเองแล้ว ยังมีอานิสงส์ไปถึง “พ่อ-แม่-ลูก-เมีย” ด้วย!

แต่ก็นั่นแหละ ในสังคมวัตุหลอมชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้ เงินเดือน ๒ หมื่น กับค่า “เฟอร์นิเจอร์สังคม” ผ่อนมือถือ-ผ่อนรถ-ช้อปปิ้ง กินห้าง ดื่มสตาร์บัคส์ ค่าเน็ต
เกลี้ยงแล้ว!

แล้วเมียล่ะ ลูกล่ะ กว่าเดือนชนเดือน จะหาเงินที่ไหน?
คิดอะไรไม่ออก ระดับกระจอก ก็ “ตั้งด่านไถ”

หรือไม่ก็ขี่มอไซค์ “แปะใบสั่ง” รถที่จอดตามซอย ตามตลาด หาค่ากับข้าว!
ส่วนระดับใหญ่ “ค้าสำนวน” พอได้บ้าง แถมยังมีค่า “ส่วยกงสี” ประจำท้องที่เสริมเป็นรายได้ประจำ

ถ้ายังต้องกินมาก-ใช้มาก-หรูมาก ก็อย่างว่า
“ร่วมกิจการค้า” สีเทา หรือไม่ก็ “ตำรวจบังหน้า-ค้ายาบังหลัง” รวยไปเลย!

มันเจริญตามรอยกันมาอย่างนี้ตั้งแต่ผมจำความได้แล้ว สมัยก่อน “ตำรวจค้าฝิ่น-ค้าของเถื่อน-หัวหน้านักเลงเจ้าพ่อ”

เดี๋ยวนี้จากฝิ่น พัฒนาเป็นยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี และอาวุธยุทโธปกรณ์ อีก ๒๐-๓๐ ปี ข้างหน้า คงพัฒนาไปถึงขั้นส่งยาผ่านยานอวกาศไปโลกพระอังคารโน่น

ตำรวจจะเข้าถึงศาสนา ก็ตอนมีปัญหา มีคดี จนตาไป ก็ตะกายพึ่งผ้าเหลือง ซึ่งตรงนี้ ก็ให้ข้อคิดว่า …….
ตำรวจทุกวันนี้ เป็นผู้รักษากฎหมายและใช้กฎหมาย

ถ้าเพิ่มไปอีกอย่าง คือ “กฎธรรม” ล่ะ?
คือตำรวจ นอกจากรักษากฎหมายแล้ว ให้รักษากฎธรรมควบคู่ไปกับการใช้กฎหมายด้วย

น่าจะเป็น “รูปธรรม” ในคำว่า “ปฎิรูปตำรวจ” ขึ้นบ้างมั้ย?
เงินน่ะ ถ้าใช้โดย “ไม่ประเมินตน” เดือนละล้าน ก็ไม่พอ

แต่ถ้า “ประเมินตน” และขวนขวาย “ใช้เวลาว่าง” ประกอบกิจการงานหารายได้เสริม นอกจากพอแล้ว ยังเหลือ!
ไม่ใช่ “สักแต่ว่าพูด” นะ

มันเรื่องจริง เพราะผมเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว จากเงินเดือนๆ ละ ๓๖๐ บาท ยุคข้าวเปล่าถ้วยละ ๕๐ สตางค์ ค่ากินอยู่ ค่าเสื้อผ้า ค่ารถ ค่าเรียน สารพัด

ผมเคยบริหารเงิน ๓๖๐ บาท ยังเหลือ ๘๐ บาท ในบางเดือนด้วยซ้ำ!
แต่ต้อง “หนักเอา-เบาสู้” ไม่เกี่ยงงานเสริมนะ เขาจ้างล้างส้วม ก็ต้องเอา แล้วผมก็รอด ถึงไม่รุ่งเป็นอาเสี่ย แต่คนเขาก็เรียก “เถ้าแก่” ย่อยซะที่ไหน

เรื่อง “บุหรี่ไฟฟ้า” นี่เป็นอีก ๑ ตัวอย่าง “เรื่องเดียว” แต่ต่างคนต่าง “ออกกฎหมาย”

ประกาศกระทรวงพาณิชย์บ้าง พรบ.คุ้มครองผู้บริโภคบ้าง พรบ.ศุลกากรบ้าง พรบ.กระทรวงสาธารณสุขบ้าง พรบ.ยาสูบบ้าง

สาระหลักทั้งหมดแล้ว……..
เน้นห้ามนำเข้า เน้นห้ามนำจำหน่าย มีโทษถึงติดคุก

แต่ไม่มีกฎหมายฉบับไหนบอกว่า…
คนสูบบุหรี่ไฟฟ้า “ผิดกฎหมาย” เลย จะผิดก็ในข้อสูบตามสถานที่สาธารณะหรือที่ต้องห้ามเหมือนบุหรี่เท่านั้น

อีกอย่าง ถ้าตำรวจจะจับคนสูบด้วยอ้างพรบ.ศุลกากร อย่าโมเมอ้างมาตรา ๒๔๒,๒๔๔,๒๔๖ แค่นั้น
ต้องไปดูให้ครบถึงมาตรา ๒๕๖,๒๕๗ ด้วย

เพราะตามพ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา ๒๕๖ บอกว่า ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๗ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าบุคคลนั้นยินยอมใช้ค่าปรับ

หรือได้ทําความตกลง หรือทําทัณฑ์บน หรือให้ประกันตามที่อธิบดีเห็นสมควรแล้ว อธิบดีจะงดการฟ้องร้องเสียก็ได้ และให้ถือว่าคดีเลิกกัน

สรุป……
กฎหมายยังคลุมเคลือในด้าน “ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า” เพราะไม่มีกฎหมายฉบับไหน บอกว่า “คนสูบผิดกฎหมาย”

มันจึงเป็นช่องว่างให้ตำรวจใช้ความครุมเคลือของกฎหมายที่ต่างคน-ต่างออกฟุ่มเฟือยจนฟ่ามนั้น
เป็นช่อง “รีดไถหากิน”

ซึ่งถ้าจะตงฉินกันจริงๆ ต้องไปจบที่ศุลกากร ไม่ใช่ที่ตำรวจหรือศาล!
ผมเห็นด้วยกับ “นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯที่ว่า

“………เราต้องทำเรื่องนี้ให้ถูกกฎหมาย หากคิดว่าเป็นเรื่องวิถีชีวิตประชาชน และสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นสิ่งที่คนส่วนมากยอมรับได้
เราก็ควรจะทำให้ถูกกฎหมาย

ให้มีการขายและเก็บภาษีให้ถูกต้อง เพื่อเอาภาษีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดูแลพี่น้องประชาชนในเรื่องอื่น
ไม่ทำกฎหมายให้ขัดต่อวิถีชีวิตประชาชน มันจะแก้ปัญหาเรื่องส่วยและแก้ปัญหาเรื่องการคอร์รัปชันได้”

ทุกวันนี้ “บุหรี่” ขายได้-สูบได้ “ไม่ผิดกฎหมาย”
แล้วกับ “บุหรี่ไฟฟ้า” ต่างกันตรงไหน ทำไมจึงผิด?
เพื่อส่งเสริมกิจการตำรวจ “ศาลเตี้ย” รึไง?

เปลว สีเงิน
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

 

Written By
More from plew
สืบสายโลหิต “ม็อบ ๓ นิ้ว”
เปลว สีเงิน ตอนนี้…… ต่างชาติแก๊ง “จักรวรรดินิยมอำนาจตะวันตก” โผล่หางบ่อยขึ้น หมายถึงอะไร? ก็หมายถึง “ม็อบ ๓ นิ้ว” กำลังถึงทางตัน...
Read More
0 replies on “ศาลเตี้ย “บุหรี่ไฟฟ้า” – เปลว สีเงิน”