ผักกาดหอม
นั่นไง…
“ชลน่าน ศรีแก้ว” หัวหน้าฝ่ายธุรการพรรคเพื่อไทย สารภาพแล้ว
“…สิ่งที่ประกาศเป็นวิสัยทัศน์ คือภาพที่เราฝันให้เป็นจริงที่ตั้งเป้าเอาไว้ภายในปี ๒๕๗๐ ว่าคนไทยและประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
เช่น คนที่ทำงานควรที่จะได้รับค่าแรงขั้นต่ำ ๖๐๐ บาทต่อวัน
คนเรียนจบปริญญาตรีควรได้เงินเดือน ๒๕,๐๐๐ บาท
เมื่อเป็นวิสัยทัศน์และมีกระบวนการการจัดทำนโยบายต่างๆ เสร็จแล้ว หากจะประกาศเป็นนโยบายที่จะใช้รณรงค์หาเสียง ก็ต้องแจ้งไปที่ กกต. เพื่อให้ทราบถึงแหล่งเงิน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด
อย่างไรก็ดี แล้วแต่คนจะมอง จะตีความว่าเป็นประชานิยมหรือไม่ แต่เรามั่นใจว่า เมื่อมาทำหน้าที่เป็นรัฐบาล จะพลิกฟื้นประเทศอย่างไร คนในประเทศจะเป็นอย่างไร แรงงานจะเป็นอย่างไร ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศจะเป็นอย่างไร เป็นภาพที่เราฝันไว้ให้…”
เขาเรียกว่าขายฝัน
ก็ยังดีครับที่ยอมรับตรงๆ ว่า มันคือสิ่งที่ฝันไว้ว่า “ควรจะ”
เชียร์ทำให้ได้ครับ
แค่อย่าหลอกขายฝัน เพื่อขอเสียงจากประชาชนเป็นพอ
แต่มันก็ติดตรงที่ แกนนำเพื่อไทยตั้งแต่เจ้าของพรรคยันลูกหาบ ไม่เคยยอมรับว่าในอดีตได้ทำผิดพลาดไว้
อย่าง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” วันนี้เป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ก็ถือว่าใหญ่โตพอควร พูดมาได้ไง
“…พรรคเพื่อไทยจะเป็นรัฐบาลที่ดี มีความสามารถบริหารเศรษฐกิจให้เติบโต อย่างมีวินัยทางการเงินการคลัง อย่างที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย
และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยเป็น ไม่สร้างภาระไปทิ้งให้คนในอนาคตต้องแบกรับ…”
ถ้าเรามีนักการเมืองแบบนี้เยอะๆ ประเทศล่มจมครับ
ที่ศาลรัฐธรรมนูญตีตกร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ ๒ ล้านล้านบาท นี่นะหรือ คือรัฐบาลที่มีวินัยทางการเงินการคลัง
จำได้หรือเปล่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าอย่างไร
เงินกู้ ๒ ล้านล้านบาทเป็นเงินแผ่นดิน การใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องได้รับอนุญาตจากกฎหมาย ๔ ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
ยกเว้นกรณีจำเป็นเร่งด่วน
แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โครงการลงทุนที่บรรจุในแผนการกู้เงิน ๒ ล้านล้านบาท เป็นโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน
การใช้จ่ายเงินแผ่นดินอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ตามมาตรา ๑๗๐ วรรค ๒ แห่งรัฐธรรมนูญ แต่ร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ ๒ ล้านล้านบาทกำหนดให้รัฐบาลสามารถนำเงินกู้ไปใช้จ่ายได้ตามวัตถุประสงค์โดยไม่ต้องนำเงินส่งคลัง แตกต่างจาก พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ ทำให้การควบคุมการใช้จ่ายเงินกู้ดังกล่าวไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หมวด ๘ ว่าด้วยการเงินการคลังและงบประมาณ
แหกวินัยทั้งนั้น
จริงหรือรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่สร้างภาระไปทิ้งให้คนในอนาคตต้องแบกรับ
แล้วงบประมาณที่ต้องตั้งใช้หนี้โครงการรับจำนำข้าวเกือบ ๘ แสนล้านบาท คือภาระที่รัฐบาลถัดมาต้องรับจากรัฐบาลใช่หรือไม่
ยังไม่หมดนะครับ งบประมาณอีกปีสองปีถัดจากนี้ก็ยังต้องแบกรับหนี้โครงการรับจำนำข้าวจากสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่
เพราะเหลือต้นเหลือดอกอีกร่วม ๓ แสนล้านบาท
แน่นอนครับ รัฐบาลที่ดีคือรัฐบาลที่บริหารประเทศแล้วเศรษฐกิจดี ประชาชนลืมตาอ้าปากได้
รัฐบาลทักษิณ บริหารประเทศเศรษฐกิจดี เป็นเรื่องจริงครับ เพราะเป็นช่วงเวลาเศรษฐกิจโลกขาขึ้น หลังจากเซไปเพราะวิกฤตต้มยำกุ้ง
หาก “อุ๊งอิ๊ง” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีโอกาสทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น ประชาชนเป๋าตุงได้เช่นกัน เพราะเศรษฐกิจโลกเริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้ว
หลังพินาศยับเยินอย่างแสนสาหัสจากการระบาดของโควิด-๑๙
ท่องเที่ยวกำลังจะกลับมา
ส่งออกดีขึ้นเรื่อยๆ
บริษัทต่างชาติเริ่มแห่กันขนเงินมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
ฯลฯ
ฉะนั้นมีโอกาสเป็นไปตามฝันครับ ปี ๒๕๗๐ ค่าแรง ๖๐๐ บาท ปริญญาตรีเงินเดือน ๒๕,๐๐๐ บาท
แต่ความสำคัญเหล่านี้ต้องขอบคุณคนที่ปูทางให้ด้วย
ก่อนเศรษฐกิจเฟื่องฟูสมัยทักษิณ รัฐบาลชวนถูกด่าออกกฎหมายขายชาติ แต่มันก็เป็นการปูทางให้รัฐบาลทักษิณทำงานได้ง่ายขึ้น
เช่นกัน รัฐบาลประยุทธ์ปูทางเอาไว้มากมาย โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึง EEC รัฐบาลถัดไปจะได้เอาไปใช้ประโยชน์เต็มๆ
มันก็อยู่ที่ฝีมือแล้วครับว่า เมื่อป้อนให้ถึงปากแล้วจะเคี้ยวอย่างไร
ถ้าจะเอาพ่อกลับบ้าน ๓ เวลาหลังอาหาร…ฉิบหายครับ
แล้วนักการเมืองในพรรคเพื่อไทยมีศักยภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากแค่ไหน
“โทนี่ วู้ดซัม” บอกว่า…
“…วันนี้หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยประกาศว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ๖๐๐ บาทภายใน ๔ ปี ล่าสุดมีคนออกมาโวยวาย บอกทำไม่ได้หรือเพ้อฝัน บางคนก็ออกมาโวยวายว่า พอกันที พรรคการเมืองเลิกหาเสียงเรื่องรายได้ขั้นต่ำสักที
ผมว่าคุณเข้าใจเศรษฐศาสตร์น้อยไป เข้าใจและเห็นใจเพื่อนมนุษย์น้อยไป วันนี้หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็พูดชัดเจนว่า จะทำให้เศรษฐกิจดี แม้โลกจะอยู่ในภาวะถดถอย จะดันเศรษฐกิจไทยให้โตเฉลี่ย ๕% เฉลี่ยนะครับ ดีไม่ดีปีแรกอาจจะโต ๗% ก็ได้ เพราะมาจากฐานที่รัฐบาลทหารทำไว้ต่ำ พอเศรษฐกิจดี นักธุรกิจมีเงินเยอะ ก็มีเงินจ่ายค่าแรงสูงขึ้น ดังนั้น keyword คือ การปั้นเศรษฐกิจให้ดี ทำให้ขึ้นค่าแรงได้…”
ความเข้าใจเศรษฐศาสตร์ของ “ทักษิณ” ไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นครับ ฉะนั้นอย่าประเมินคนอื่นต่ำเกินไป
ค่าเฉลี่ยจีดีพีปี ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ประเทศไทยเติบโตเฉลี่ยปีละ ๓.๙%
ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๒ โตเฉลี่ยปีละ ๓.๔%
มาลงลึกในรายปี
ปี ๒๕๖๒ จีดีพีโต ๒.๔%
ปี ๒๕๖๓ ดิ่งเหว -๖.๒%
ปีนี้คาดว่าจะขยายตัว ๒.๗-๓.๒%
ปี ๒๕๖๓ ไม่ต้องพูดถึงครับ เมาหมัดอยู่กับโควิด-๑๙ เศรษฐกิจพังไปทั้งโลก ไม่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้งประเทศไหนเอาอยู่
ปีนี้เริ่มดีขึ้น ปีหน้าทุกอย่างมาเกือบครบ อยู่ในวิสัยที่รัฐบาลหน้าสามารถทำตัวเลขให้อยู่ที่ ๕%
แต่ก็ขึ้นกับหลายสิ่ง การคอร์รัปชันจะยังคงเป็นประเด็นที่ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจมากที่สุด
หากรัฐบาลโคตรโกง โกงทั้งโคตรกลับมา มันก็ถอยหลังอีก
และ “ทักษิณ” ควรรู้ว่า พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.๒๕๖๑ มีหลักการสำคัญหลายประการ
หนึ่งในนั้นคือ การห้ามรัฐบาลทำประชานิยม บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ กำหนดไม่ให้คณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว
หากไม่ปฏิบัติตาม มีบทลงโทษตั้งแต่โทษทางปกครอง ถึงส่งให้ ป.ป.ช.วินิจฉัย
กฎหมายนี้ออกสมัย “ลุงตู่” ครับ