ผักกาดหอม
จะพัฒนาประเทศยังต้องทำอีกหลายสิ่งครับ
เรื่องขจัดนักกินเมือง คงจะยากครับ เพราะเงื่อนไขยังไม่สุกงอมพอ
ปฏิรูปการเมือง ก็ยังแค่ฝัน
ปฏิรูปตำรวจยิ่งแล้วใหญ่
คงต้องรอกันอีกนาน
วานนี้ (๒๙ พฤศจิกายน) พูดเรื่องปรับปรุงการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้รากเหง้าของตัวเองไปแล้ว
เท่านั้นคงยังไม่พอ มีเรื่องรอให้แก้ไขอีกบานตะไท
การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นปีหน้านี้ สิ่งที่พรรคการเมืองทุกพรรคต้องตกผลึกในการสร้างนโยบายคือ ปัญหาที่รออยู่
เพลาๆ นโยบายประชานิยม แล้วไปเริ่มต้นกับปัญหาที่ต้องแก้
อย่างที่รู้กัน ทศวรรษหน้า ประเทศไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ
ไทยจะเผชิญวิกฤตหนัก ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ
ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าเจอแน่ๆ
บางพรรคการเมืองพยายามเข็นนโยบายรัฐสวัสดิการ แต่ที่น่ากังวลคือ รัฐมีรายได้เพียงพอที่จะเอามาบริหารจัดการหรือไม่
พรรคก้าวไกลบอกว่าสบายมาก แค่ตัดงบกลาโหม งบเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และอื่นๆ ก็เพียงพอที่จะ แจกตั้งแต่วันแรกที่ลืมตา ถึงวันสุดท้ายของชีวิต
เข้าไปดูเนื้อใน เงินผู้สูงวัยเดือนละ ๓ พันบาท ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ ๔๕๐ บาท ค่าทำศพ ฯลฯ
พูดจริงๆ นะครับ มันไม่ใช่รัฐสวิสดิการ แต่มันคือประชานิยมซ่อนรูป ลดแลกแจกแถมมากกว่าที่หลายๆ พรรคนำเสนอก่อนหน้านี้
นี่คือประชานิยมซ่อนรูปมาในคราบ รัฐสวัสดิการ เม็ดเงินจากการแก้แค้นเอาคืนกองทัพ และสถาบันพระมหากษัตริย์
ฉะนั้นพรรคก้าวไกลยังคงอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้ง และพยายามซื้อประชาชนด้วยนโยบายประชานิยม
หากจะใช้นโยบายรัฐสวัสดิการจริงๆ ที่มาของงบประมาณต้องมีความเป็นสากลด้วย
คือการเก็บภาษีในอัตราที่สูง สมน้ำสมเนื้อกับการที่รัฐต้องจ่ายเพื่อดูแลประชาชน
เงินคนแก่เดือนละ ๓,๐๐๐ มันใช้ดำรงชีวิตจริงๆ ไม่ได้ครับ
ต้องหลักหมื่น
๒-๓ หมื่นต่อเดือน แบบนี้ถึงจะเรียกว่ารัฐสวัสดิการ
ทำแบบนี้ได้ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ๑๐% ขึ้นไป
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเกิน ๕๐%
ไปดูประเทศรัฐสวัสดิการเขาเสียภาษีเงินได้กันเท่าไหร่
ฟินแลนด์ เสียภาษีเงินได้สูงสุด ๔๗%
เดนมาร์ก เสียภาษีเงินได้สูงสุด ๕๖%
ญี่ปุ่น เสียภาษีเงินได้สูงสุด ๕๖%
ไทย เสียภาษีเงินได้สูงสุด ๓๕%
นิวซีแลนด์ เสียภาษีเงินได้สูงสุด ๓๓%
สิงคโปร์ เสียภาษีเงินได้สูงสุด ๒๒%
เห็นไทยจ่ายภาษีเยอะกว่านิวซีแลนด์ สิงคโปร์ อย่าด่วนสรุปว่าเรารวยกว่า
เห็นเปอร์เซ็นต์สูงกว่าแต่รายได้ต่ำกว่า
สัดส่วนผู้เสียภาษีในไทยอยู่ที่ ๑๗% หรือประมาณ ๑๑ ล้านคนเท่านั้น
เก็บภาษีได้ ๓ แสนล้านบาทเท่านั้น
ไม่ใช่ ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์เหมือนประเทศรัฐสวัสดิการ
ฉะนั้นพรรคการเมืองต้องหัดพูดความจริงเสียบ้าง
ก็รู้อยู่มันงูกินหาง
ประชาชนไม่อยากจ่ายภาษีแพง อ้างว่านักการเมืองโกงงบประมาณแผ่นดิน
ส่วนนักการเมือง ไม่เคยปลอดคอร์รัปชัน แต่ก็อยากได้งบประมาณ
ทีนี้มาดูว่า ทศวรรษหน้าต้องเจออะไรบ้าง
วันก่อน “ดร.อรรถพล สังขวาสี” ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ พูดถึง ๕ ปัญหารุมเร้า ที่ต้องแก้เพราะไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุระดับสุดยอด ขณะที่ผลิตภาพแรงงานไทยมีแนวโน้มลดลงระดับติดลบ
ประการแรก ในอีก ๑๑ ปีข้างหน้าผู้สูงอายุของไทยจะสูงขึ้นเป็น ๒๘% หรือมากกว่าปัจจุบันราว ๑๐% ซึ่งในทางวิชาการจะใช้ศัพท์ที่เรียกว่าสังคมสูงอายุระดับสุดยอด และปัจจุบันมีผู้สูงอายุ ๑๙.๒% อาศัยรายได้จากเบี้ยยังชีพจากราชการ ที่อัตราเพียงเดือนละ ๖๐๐-๑,๐๐๐ บาทต่อคนเท่านั้น
ประการที่ ๒ ผลิตภาพแรงงาน (Labour Productivity) เป็นการวัดสัดส่วนผลผลิตต่อหน่วยของแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจระยะยาว และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จากข้อมูลองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO) พบว่า ผลิตภาพแรงงานต่อชั่วโมงของไทยมีทิศทางลดลงและปรับเป็นระดับหดตัวในปี ๒๕๖๓ ในอัตราร้อยละ -๑.๘๙ และจากการจัดอันดับโดย Institute for Management Development (IMD) ปี ๒๕๖๔ ผลิตภาพแรงงานของไทยอยู่ในอันดับที่ ๔๐ จาก ๖๔ ประเทศ
ประการที่ ๓ ในปี ๒๕๖๒ ไทยมีกลุ่มเยาวชนว่างงานและนอกระบบการศึกษา (NEET) เยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี ที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษา การจ้างงาน และการฝึกอบรม มากถึง ๑.๓ ล้านคน (๑๔% ของเยาวชนไทย) และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ ๑%
ประการที่ ๔ ในปี ๒๕๖๔ ไทยมีแรงงานฝีมือเพียง ๑๔.๔% และมีแรงงานนอกระบบมากถึง ๕๒% ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้ไม่มีสวัสดิการ เมื่อเกษียณอายุแล้วย่อมส่งผลกับการดำรงชีวิต ในระยะยาวจะกระทบต่อรัฐในการจัดสรรงบประมาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณด้านสุขภาพ
และประการที่ ๕ ดัชนีทุนมนุษย์ (Human Capital Index) ที่คำนวณโดยธนาคารโลก (World Bank) ในปี ๒๕๖๓ อยู่ที่ ๐.๖๑ หมายความว่าเด็กที่เกิดในประเทศไทยเมื่อเติบโตขึ้นจะมีศักยภาพในระดับร้อยละ ๖๑ ของผลิตภาพที่เป็นไปได้ของตัวเอง (Potential Productivity)
หากปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามภาวะปกติ ในทศวรรษหน้าเราจะเผชิญปัญหาหนัก และปัญหานี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงภาคการศึกษา (Education Sector) เท่านั้น
จะส่งผลกระทบกับภาคอื่น ๆ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ
แต่…เราสามารถเข้าไปพัฒนา คือการเตรียมพัฒนากำลังคนให้ทำงานได้เต็มตามศักยภาพ
ครับ…นโยบายพัฒนาคน เอามาหาเสียงยากครับ นักการเมืองจึงไม่ให้ความสำคัญเท่าไหร่ สู้แจกเงินไม่ได้
ฉะนั้นพรรคการเมืองไหนนำเสนอนโยบายมองไปในอนาคตทศวรรษหน้า ได้โปรดช่วยกันเลือกครับ
พวกประชานิยมซ่อนรูป อย่าไปสนับสนุนเด็ดขาด