ผักกาดหอม
เชือดเฉือนกันน่าดู
“ทักษิณ-วิษณุ” ถือเป็นมวยถูกคู่
เพราะคนหนึ่งเคยได้รับฉายา “นายกฯ เทวดา” อีกคนคือ “เนติบริกร”
คนรุ่นใหม่คงไม่ได้ซึมซับการเมืองยุคทักษิณเพราะเกิดไม่ทัน
ส่วนคนรุ่นเก่าบางคนอาจลืมไปแล้วว่า ยุคเริ่มแรกของรัฐบาลไทยรักไทย บริหารประเทศไทย อัศวินควายดำนั้น มันไม่ได้มีบรรยากาศเหมือนที่เข้าใจกันในขณะนี้
วันนี้เกิดปรากฏการณ์ปั้นนักโทษหนีคุกให้กลับเป็นเทวดาอีกครั้ง โดยบรรดาลิ่วล้อเก่า ใช้โซเชียล สื่อที่เข้าถึงผู้คนได้ง่ายที่สุด
แต่กลับมีปัญหาการกรองข้อเท็จจริงมากที่สุด
ช่องทางสื่อสารหลักของ “ทักษิณ” ในวันนี้คือ เพจเฟซบุ๊ก CARE คิด เคลื่อน ไทย ลูกน้องเจ้าประจำที่ฝังตัวอยู่คือ หมอเลี้ยบ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, ดวงฤทธิ์ บุนนาค เป็นต้น
ถ่มถุยกันทุกคืนวันอังคาร
และอังคารที่ผ่านมา “ทักษิณ” พูดหลายเรื่อง กระทบไปหลายคน หนึ่งในนั้นคือ “วิษณุ เครืองาม”
“…วิษณุทำหนังสือถึงสำนักเลขาฯ พระราชวังเพื่อขอใช้วัดพระแก้วแล้ว ผมทำงานอย่างเดียว ไม่รู้เรื่อง…”
พอผมชนะการเลือกตั้งได้ ๓๗๗ มีการปล่อยข่าวว่าทักษิณมีเสียงมากกว่า ๒ สภารวมกัน (ส.ส.+ส.ว.) จะทำให้อำนาจการแต่งตั้งรัชทายาทอยู่ในมือทักษิณ เหากินหัวตายเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำนักพระราชวัง แต่พวกมันปล่อยข่าว ไม่รู้จะทำลายความนิยมผมหรือยังไง ไม่รู้จะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังไง เลยไปเอาเรื่องเจ้ามาเล่น
แล้วเรื่องวัดพระแก้ว ผมไปทำบุญประเทศ มัคนายกประจำ ครม.คือ วิษณุ ซึ่งผมไม่รู้เรื่อง ผมทำงานอย่างเดียว เขาประสานงานทุกอย่าง แล้วจัดทำบุญในวัดพระแก้ว แต่เหตุการณ์ที่มีปัญหา คือตอนนั้นวิษณุเป็นรองนายกฯ ทำหน้าที่จัดการ วิษณุทำหนังสือถึงสำนักเลขาฯ พระราชวังเพื่อขอใช้วัดพระแก้วแล้ว ผมทำงานอย่างเดียว ไม่รู้เรื่อง
เรื่องเปิดอาคารพระเทพบิดรให้ไปถวายสักการะพระอัฐิบูรพกษัตริย์ คุณวิษณุก็ทำหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการ ทูลเกล้าฯ รองเลขาฯ ระบุว่าในหลวงทรงทราบแล้ว แล้วเปิดใช้ทำบุญฉลองได้ตามขั้นตอน แต่ปรากฏว่าคุณแก้วขวัญที่นึกว่ายังไม่อนุมัติ แล้วทำไมถึงใช้ได้ เขาก็โวยวาย ทั้งๆ ที่พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งแล้ว ผมกล่าวว่าได้รับสั่งผ่านรองเลขาฯ แล้ว แต่พวกมันจ้องจะหาเรื่องผมเอง…”
ฝั่ง “วิษณุ” ตอบกลับเลือดซิบๆ
“ไม่เป็นไร ก็โยนมาเถอะ ผมเป็นรองนายกฯ ท่านเป็นนายกฯ ไม่เป็นไร เรื่องข้าวก็เห็นโยนให้คุณบุญทรง (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์) เรื่องบ้านเอื้ออาทรก็โยนให้คุณวัฒนา (นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)”
“ไม่มีรัฐบาลไหนหรอกที่ให้รองนายกฯ ลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่ โดยที่หัวหน้ารัฐบาลไม่รู้เรื่อง แต่หลายเรื่องผมจำไม่ได้แล้ว และยังไม่มีโอกาสไปเปิดหนังสือโลกนี้คือละคร แต่บังเอิญผมเก็บเอกสารไว้หมด”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต สะท้อนผ่านฉายารัฐบาลที่สื่อประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้เมื่อปี ๒๕๔๕ หรือเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ได้อย่างชัดเจน
ฉะนั้นใครที่คิดว่ายุครัฐบาลทักษิณ เป็นยุคประชาธิปไตยเต็มถ้วย เศรษฐกิจเฟื่องฟู ก็ลองดูตามนี้ครับ
ฉายารัฐบาล คือ “หลอน”
สื่อประจำทำเนียบรัฐบาลยุคนั้นอธิบายเพิ่มเติมว่า เนื่องจากนโยบายที่รัฐบาลนำเสนอต่อสาธารณะ เป็นการสร้างความหวังให้กับทุกชนชั้นในสังคม ทั้งที่นโยบายเดิมยังไม่สัมฤทธิผล แต่มีนโยบายใหม่ออกมาเพื่อจูงใจให้ประชาชนยอมรับ
แต่เมื่อนโยบายถูกตรวจสอบ และส่อว่าจะมีปัญหายุ่งยากในการปฏิบัติ กลับออกนโยบายและมาตรการใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสมือนการหลอนให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อรัฐบาลตลอดเวลา
วาทะแห่งปี ได้แก่ “รู้น้อยอย่าพูดมาก”
เป็นคำพูดของ “ทักษิณ” ที่สะท้อนความมั่นใจและวิธีคิดแบบ “ทักษิณ” ที่ต้องการเป็นผู้นำเดี่ยวในสังคม คำพูดนี้ใช้ตอบโต้กับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ตัว “ทักษิณ” ได้รับฉายา “เทวดา”
สื่อประจำทำเนียบรัฐบาลอธิบายว่า เนื่องจากกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนหลงอำนาจ ยึดกรอบความคิดของตัวเองเป็นหลัก
หากบุคคลใดท้วงติง หรือเห็นต่าง ก็จะถูกตอบโต้รุนแรงทุกที ยึดติดกับความคิดของตัวเองว่าถูกต้องเพียงผู้เดียว และพยายามแสดงบทบาทให้สังคมเห็นว่าเป็นผู้นำเอเชียและระดับโลก เสมือนหนึ่งเป็น “เทวดา”
สำหรับ “วิษณุ” ได้รับฉายา “เนติบริกร”
ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นมือกฎหมาย ผู้มีความสามารถเป็นเลิศในการ “พลิกแพลง” ใช้กฎหมายให้รัฐบาลมีความชอบธรรม และได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม
ครับ…บรรยากาศจริงของการเมืองยุคทักษิณมันเป็นแบบนั้น
เมื่อวันนี้ “ทักษิณ” เอาเรื่องเก่ามาพูด ในลักษณะเอาดีเข้าตัว โยนชั่วใส่ผู้อื่น การตอบกลับของ “วิษณุ” ที่เคยรับบทเนติบริกรให้ “ทักษิณ” เป็นการยืนยันตัวตนที่แท้จริงของนายกฯ เทวดา ก่อนมากลายเป็นนักโทษหนีคุกว่า เป็นผู้นำเลว อย่างแท้จริง
โดยบทบาทเนติบริกรก็อธิบายอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า ทำงานให้ “ทักษิณ” ฉะนั้นเรื่องขอใช้วัดพระแก้ว หากไม่มีออเดอร์จากนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ จะไปล้ำเส้นได้อย่างไร
แต่ก็สงสัยครับว่า ทำไม “ทักษิณ” เอาเรื่องนี้มาพูดในเวลานี้
“ทักษิณ” นั่งเป็นประธานในพิธีศาสนสัมพันธ์สมานฉันท์แห่งชาติ หรือ “ทำบุญประเทศ” ภายในโบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๔๘
ปีนั้นบรรดาโหรน้อยใหญ่ ตรวจชะตาเมืองแล้ว ฟันธงว่า แผ่นดินจะประสบวิกฤตใหญ่หลวง บ้านเมืองแตกแยกระส่ำระสาย จะบาดเจ็บล้มตายเดือดร้อนกันเป็นอันมาก
จะเกิดความเปลี่ยนแปลงหลายประการในบ้านเมืองเป็นเวลาถึง ๒๐ ปี
ก็เหลือเชื่อนะครับวันนี้ผ่านมาร่วม ๒๐ ปี บ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง ประชาชนถูกแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ตกเป็นเครื่องมือชิงอำนาจให้นักการเมือง
เกิดรัฐบาลคอร์รัปชัน “ผู้นำ” ต้องหนีไปต่างประเทศทั้งพี่ทั้งน้อง
เกิดวิกฤตการทางการเมืองถึงขั้นเผาบ้านเผาเมือง ใช้กองกำลังติดอาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ
ผู้คนล้มตายเป็นร้อย เพียงเพราะมีคนคนเดียวไม่ยอมให้เลิกชุมนุม
เกิดรัฐประหารถึง ๒ ครั้ง ด้วยเหตุผล รัฐบาลคอร์รัปชัน ประชาชน ๒ ฝ่ายจะฆ่ากัน
ร่วม ๒๐ ปีมานี้ เป็นยุคที่คนไทยเดือดร้อนแสนสาหัส จากการชิงอำนาจของนักการเมือง
แสดงว่าการทำบุญประเทศในวันนั้น ช่วยอะไรไม่ได้เลย
อาจเพราะประธานในพิธีคือตัวปัญหา
“ทักษิณ” มีส่วนก่อปัญหาไว้มากมาย
วันนี้ “ทักษิณ” ก็ยังอยู่ในบทบาทเดิม คือ ผู้ก่อความขัดแย้ง
เบื้องลึกเบื้องหลัง การทำหนังสือขอพระบรมราชานุญาตใช้สถานที่ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น “ทักษิณ” บอกว่าตัวเองไม่เกี่ยว เป็นฝีมือ “วิษณุ” ล้วนๆ
พิธีทำบุญประเทศ ไม่ใช่งานเล็กๆ มีการประชุมคณะรัฐบาลเพื่อเตรียมงานหลายครั้ง
ครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ เป็นประธานในที่ประชุม
ต่อมาวันที่ ๒ วันจันทร์ที่ ๗ มีนาคม พ่อใหญ่จิ๋ว เป็นประธานเช่นเคย ที่ประชุมเห็นสมควรกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงาน
ถัดจากนั้นเมื่อได้รัฐบาลชุดใหม่ “จาตุรนต์ ฉายแสง” นั่งเป็นประธานแทน และรับรองมติที่ประชุมของคณะกรรมการชุดพ่อใหญ่จิ๋ว ที่ประชุมเห็นชอบกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาทรงเป็นประธาน
ถามว่า “ทักษิณ” รู้หรือเปล่า?
จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกฯ คนแรกที่เข้าไปทำพิธีในพระอุโบสถวัดพระแก้ว
๖ ปีให้หลัง ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารต้องหนีไปต่างแดน และจบชีวิตที่ญี่ปุ่น
“ทักษิณ” ถูกรัฐประหาร ๒๕๔๙ บินไปดูการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีน ๒๕๕๑ หลังจากนั้นไม่ได้กลับไทยอีกเลย
วันนี้ยังพยายามกลับบ้านแบบเท่ๆ อยู่