ศูนย์รวมของชาติ-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

เข้าสู่วันแห่งความรัก

แต่บรรยากาศทางการเมืองของนักการเมือง ดูเจี๊ยวจ๊าว แย่งกันพูด แย่งกันทำ คิดกันไปคนละทาง ยังหาความรักแทบจะไม่ได้

ความขัดแย้งยังคงเดิม เพิ่มเติมคือพกความแค้นมาด้วย

หลายพรรคการเมืองเคลื่อนไหวกันคึกคัก มาจากการประเมินว่าอาจมีการยุบสภาในอีกไม่นาน

ถึงจะไม่มียุบสภา รัฐบาลอยู่ครบวาระ ก็เหลือเวลาแค่  ๑ ปีจะมีการเลือกตั้งใหม่ ฉะนั้นหลายพรรคจึงเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ

เปิดนโยบายพรรค

เปิดตัวผู้สมัคร

เสร็จแล้วก็แบ่งข้างด่ากันรายวัน

ทำให้อดคิดถึงคำว่า “ปฏิรูปการเมือง” ไม่ได้

เคยได้ยินบ่อย ชาวสามนิ้วบอกว่า ถ้าการเมืองดีทุกอย่างจะดีหมด

การเมืองดีในความหมายของชาวสามนิ้ว ไม่มีอะไรซับซ้อนนัก แค่ฝ่ายตัวเองได้เป็นรัฐบาลก็ถือว่าการเมืองดีแล้ว

นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง

การเมืองไม่ได้หมายความถึงรัฐบาล

แต่การเมืองคือ รัฐบาล ฝ่ายค้าน ประชาชน ฉะนั้นการเมืองที่ดี อย่างน้อยๆ ประชาชนต้องมีความรับผิดชอบต่อการเลือกผู้แทนราษฎรด้วย

เมื่อประชาชนรับผิดชอบน้อย เราจะได้ ส.ส.ที่มีคุณภาพต่ำเข้าสภา

การเมืองไม่มีทางดีขึ้นมาได้

วานนี้ (๑๓ กุมภาพันธ์) “ท่านใหม่” ม.จ.จุลเจิม ยุคล  โพสต์เฟซบุ๊กไว้ สะเทือนการเมืองไปพอสมควรเลยทีเดียว

…อยากจะถามคนไทยทั้งประเทศว่า ทุกคนพร้อมที่ปกป้องสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างถูกต้องและสมควร หรือยัง

ทางออกประเทศไทยมีทางเดียว ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ด้วยการสร้างการปกครองเสียใหม่ ตามแนวทางรัชกาลที่ ๗ ที่ได้ทรงวางแนวทางไว้เท่านั้น จึงจะเกิดสมดุลอำนาจในทางปกครอง

การเมืองที่ยึดติดระบอบเผด็จการต่อเนื่องยาวนานมา  ๘๘ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนโง่เขลา ตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวอำนาจกฎหมายปิดปากและอำนาจกองทัพ จึงทำให้ปวงชนชาวไทยตกอยู่ในอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ ที่บังคับให้คนหลงเชื่อว่าประเทศไทยมีการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งๆ ที่ลิดรอนพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์จนหมดสิ้น

คณะกบฏที่ยึดอำนาจพระมหากษัตริย์ วางแผนระยะยาวเพื่อให้หมดสิ้นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ให้ผู้สืบทอดอำนาจทำหน้าที่แทนพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เมื่อราชวงศ์ว่างลง

นั่นก็หมายความว่า คณะเผด็จการต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์สิ้นสุดลงไปโดยปริยาย เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ที่ไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบอเมริกา ซึ่งไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์

คนไทยที่เคารพครับ ประเทศไทยแต่เดิมมานั้น พระมหากษัตริย์หาแผ่นดินให้เราอยู่ รวมตัวกันเข้ามาเป็นชาวแผ่นดินสยาม

เมื่อเราคิดจะที่ทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ทำไมไม่เปลี่ยนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แบบประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๗

แต่ปัจจุบันนี้คณะบุคคลที่บริหารประเทศได้พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะตัดสถาบันพระมหากษัตริย์ออกไปจากการปกครองประเทศ ตามหลักการเดิมของกบฏคณะราษฎร ๒๔๗๕

เรื่องนี้ประชาชนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคณะบุคคลที่สืบทอดอำนาจกันต่อๆ มา ปิดบังข้อเท็จจริงมาโดยตลอด  พยายามกีดกันประชาชนให้ห่างสถาบันพระมหากษัตริย์  โดยเอามาตรา ๑๑๒ มาเป็นเครื่องมือ ทั้งๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ไม่ทรงเห็นด้วยกับการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้

ในทางตรงกันข้ามผู้นำรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย พยายามที่จะสร้างภาพความจงรักภักดี ด้วยการจัดงานเฉลิมฉลองอลังการให้ชาวโลกและชาวไทยเห็นว่าผู้นำประเทศจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

เพื่อแสดงให้สังคมโลกยอมรับคบค้าสมาคมด้วย ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตบตาชาวโลกและชาวไทยมาโดยตลอด ๘๘ ปี จึงเป็นที่มาของคำว่า “ลิงหลอกเจ้า”

เสียดายครับ ที่คนในประเทศมีการศึกษาสูงจนทำให้  “ต่อมแห่งความกตัญญูเสื่อม” ยังจะมีหน้าบังอาจประกาศยืนยันที่จะเดินหน้าประเทศไทย ด้วยนโยบายเนรคุณสถาบันพระมหากษัตริย์ จนลืมคำทัดทานร้องขอ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ หรืออย่างไร..?

จึงอยากจะถามคนไทยทั้งประเทศว่า ทุกคนพร้อมที่ปกป้องสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างถูกต้องและสมควรที่จะเป็นดังเช่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หรือยังครับพี่น้องไทย….??

หากทุกท่านพร้อมที่จะรวบรวมความกล้า ด้วยพลังแห่งความกตัญญู ต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ขอจงได้โปรดรีบสลัดความเขลา ความกลัว ลุกขึ้นมาพร้อมใจกันบอกกับผู้ถืออำนาจในขณะนี้ ให้รีบเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ให้เป็นไปตามแนวทางของรัชกาลที่ ๗ กันเถอะครับก่อนที่เราจะตายจากโลกนี้ ไปอย่างมีคุณค่าของความเป็นไทย…

ครับ…ก็มีทั้งเห็นด้วยและเห็นแย้งครับ

การสร้างการปกครอง ตามแนวทางรัชกาลที่ ๗ ที่ได้ทรงวางแนวทางไว้ อาจเป็นข้อถกเถียงไม่จบไม่สิ้น แล้วจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน?

ถ้ายึดจาก พระราชหัตถเลขา ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ

ข้อความย่อหน้าที่ ๒ หน้า ๕ ที่ว่า “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

ตรงนี้จะชัดเจนที่สุด

ทั้งรัฐบาลเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐบาลจากการรัฐประหาร โดนหมด

แต่การเมืองไทยยังมีปัญหาให้ต้องขบคิดเพิ่มเติม

ยกตัวอย่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนอย่างถล่มทลายคือรัฐบาลทักษิณ กลับกลายเป็นรัฐบาลเผด็จการรัฐสภา เกิดการคอร์รัปชันกันอย่างมโหฬาร

ขณะที่รัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร กลับเป็นรัฐบาลที่มีความเป็นประชาธิปไตย ได้รับการยอมรับสูงทั้งในและต่างประเทศ

ฉะนั้นความผิดพลาดตลอด ๘๘ ปีที่ประชาธิปไตยไทยไปไม่ถึงไหนมาจากอะไรกันแน่

เพราะคณะราษฎรมิได้มีเจตนาเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตั้งแต่แรก แต่สถานการณ์บีบบังคับให้ทำใช่หรือไม่

คณะราษฎร รู้ดีว่า พระมหากษัตริย์ยังเป็นที่เคารพรักของประชาชนคนไทยตลอดมา หลังการยึดอำนาจ จึงส่งคนไปกราบบังคมทูลให้ ร.๗ เสด็จฯ กลับมาประทับที่กรุงเทพฯ หลังเสด็จฯ ไปทรงรักษาพระเนตรที่อังกฤษ

สิ่งที่คณะราษฎรทำไม่ต่างจากใช้พระมหากษัตริย์ เป็นตัวประกัน

การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงไม่เป็นไปตามทฤษฎีการปกครองของตะวันตกมาตั้งแต่แรก

ความผิดเพี้ยนจึงเกิดขึ้นเรื่อยมา

ก่อนปี ๒๕๐๐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกจ้องทำลาย และใช้เป็นเหตุผลในการช่วงชิงอำนาจกันเองระหว่างคณะราษฎร ดังปรากฏหลักฐาน ยุคจอมพล ป. พยายามบีบมิให้  ร.๙. เสด็จฯ ไปทรงพบประชาชน ด้วยการสั่งตัดงบประมาณ เพราะเหตุผลประชาชนรักในหลวง

หรือแม้กระทั่งการรื้อฟื้นคดีสวรรคต ร.๘ ก็ยังโยงไปถึงการชิงอำนาจกันเองของ คณะราษฎร ๒ ขั้ว

ฉะนั้นประเทศไทยจึงมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบไม่ตั้งใจมาตั้งแต่แรก

แล้วจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แบบประเทศอังกฤษ เป็นแบบไหน?

ทั้งไทยและอังกฤษใช้หลัก “the king can do no  wrong” เหมือนกัน

แต่สถาบันพระมหากษัตริย์อังกฤษเป็นเพียง  “สัญลักษณ์” ของชาติเท่านั้น

ขณะไทยเป็นมากกว่านั้น

เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็น “ศูนย์รวมของชาติ”


Written By
More from pp
องค์การเภสัชกรรม เปิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยสู่ประชาชน หลังกระทรวงพาณิชย์ปลดล็อค เปิดขายเสรี
หลังจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดให้ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ สามารถจำหน่ายถึงผู้ซื้อโดยตรง พร้อมทั้งควบคุมราคาจำหน่ายปลีกไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท
Read More
0 replies on “ศูนย์รวมของชาติ-ผักกาดหอม”

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
'); }); var ratingTotalIndicator = function() { var indicator = document.querySelectorAll('.rating-total-indicator'); if (typeof indicator === 'undefined' || indicator === null) { return; } for ( var i = 0, len = indicator.length; i 0 || bottom > 0) && top