ต่อมลูกหมากโต โรคฮิตของผู้ชายวัยเกษียณ รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

ในช่วงวัยกลางคนจนถึงวัยสูงอายุ ผู้ชายจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับปัญหาการปัสสาวะผิดปกติ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือแม้กระทั่งต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อยในตอนกลางคืน อาการเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว และหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยคือ “โรคต่อมลูกหมากโต”

นายแพทย์อรรถวัฒน์ อังสุพันธุ์โกศล ศัลยแพทย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลเวชธานีอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia – BPH) คือภาวะที่ต่อมลูกหมากของเพศชายมีขนาดใหญ่ขึ้นผิดปกติ โดยต่อมลูกหมากนี้จะอยู่บริเวณใต้กระเพาะปัสสาวะ และล้อมรอบท่อปัสสาวะ เมื่อมีการขยายใหญ่ขึ้น ก็จะไปกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะตามมา โรคนี้ไม่ใช่มะเร็ง และไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง แต่ก็สามารถสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยได้ไม่น้อย

สาเหตุของโรคต่อมลูกหมากโตยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรคได้แก่ อายุที่มากขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศชาย โดยทั่วไป ผู้ชายที่มีอายุเกิน 50 ปี จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และเมื่อเข้าสู่วัย 60 ปีขึ้นไป โอกาสเกิดโรคนี้สูงถึงกว่า 50% ขณะที่ในช่วงอายุ 70 ปีขึ้นไป พบผู้ชายที่มีภาวะต่อมลูกหมากโตมากถึง 80% จากข้อมูลสถิติทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่าโรคนี้เป็นปัญหาสำคัญในกลุ่มประชากรชายสูงวัยที่ไม่ควรมองข้าม

อาการของโรคต่อมลูกหมากโตสามารถแบ่งออกได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่อาการที่เกี่ยวกับการเก็บปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อย ปวดปัสสาวะทันทีทันใด และปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน ไปจนถึงอาการที่เกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะสะดุด ปัสสาวะหยด ปัสสาวะเป็นเลือด หรือแม้กระทั่งไม่สามารถปัสสาวะได้เลย ซึ่งในบางราย อาการเหล่านี้อาจค่อย ๆ รุนแรงขึ้นและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือการทำงานของไตที่ลดลง

ในการวินิจฉัยโรคต่อมลูกหมากโต แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติอาการ ตรวจร่างกาย และอาจใช้วิธีตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจปัสสาวะ การตรวจเลือดเพื่อวัดค่า PSA (Prostate-Specific Antigen) การตรวจคลื่นเสียงผ่านทางทวารหนัก (TRUS) หรือการตรวจวัดอัตราการไหลของปัสสาวะ (Uroflowmetry) รวมถึงการประเมินปริมาณปัสสาวะคงค้างในกระเพาะปัสสาวะหลังปัสสาวะเสร็จ เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

สำหรับแนวทางการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ และผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วย โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มจากการสังเกตอาการและปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก่อน หากอาการยังไม่รุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยลดการดื่มน้ำก่อนนอน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน รวมถึงจัดการความเครียดให้เหมาะสม เพราะพฤติกรรมเหล่านี้สามารถลดอาการปัสสาวะบ่อยหรือลำบากได้ในบางรายโดยไม่ต้องใช้ยา

ในกรณีที่อาการเริ่มส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต แพทย์จะพิจารณาการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ โดยยาที่ใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโตหลัก ๆ มีสองกลุ่ม ได้แก่

ยากลุ่มที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบท่อปัสสาวะ(2-blocker) ทำให้ปัสสาวะได้สะดวกขึ้น
ยากลุ่มที่ช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมากลง (5-ARZ)

ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้อาจใช้ร่วมกันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละคน ยามีประสิทธิภาพดีในหลายกรณี แต่อาจต้องใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน และในบางรายอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตต่ำ อ่อนเพลีย หรือภาวะหลั่งน้ำอสุจิผิดปกติ

หากการรักษาด้วยยาไม่สามารถควบคุมอาการได้ หรือในกรณีที่ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่มากจนขัดขวางการขับปัสสาวะอย่างรุนแรง การผ่าตัดจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษา ซึ่งการผ่าตัดที่ใช้บ่อยคือการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเพื่อตัดชิ้นเนื้อของต่อมลูกหมากที่ไปกดทับท่อปัสสาวะออก ถึงแม้การผ่าตัดจะได้ผลดี แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องคำนึงถึง เช่น การดมยาสลบ ความเสี่ยงของการติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด รวมถึงอาจมีผลกระทบต่อการหลั่งน้ำอสุจิหรือสมรรถภาพทางเพศในบางราย

อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ในปัจจุบัน จึงมีวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด เรียกว่า การรักษาด้วยเทคนิค PAE หรือ Prostatic Artery Embolization ซึ่งเป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ โดยอาศัยเทคนิคทางรังสีร่วมรักษา แพทย์จะสอดสายสวนขนาดเล็กผ่านหลอดเลือดบริเวณขาหนีบหรือข้อมือ แล้วฉีดสารอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงต่อมลูกหมาก ทำให้การไหลเวียนเลือดไปยังต่อมลูกหมากลดลง ส่งผลให้ต่อมลูกหมากค่อย ๆ หดตัวลงตั้งแต่ 1 – 3 เดือนหลังทำ และช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวข้องกับการปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วง 5 – 6 เดือนหลังทำ

ข้อดีของการรักษาด้วยวิธี PAE คือผู้ป่วยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ไม่มีแผลใหญ่ ฟื้นตัวเร็ว ผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศน้อย และสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว โดยผลลัพธ์ในการรักษาค่อนข้างน่าพึงพอใจ จากข้อมูลพบว่าผู้ป่วยราว 75 – 80% มีอาการดีขึ้น ปัสสาวะคล่องขึ้น ลดอาการปัสสาวะบ่อยและปวดขัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าโรคต่อมลูกหมากโตไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็เป็นภาวะที่ไม่ควรละเลยเช่นกัน ดังนั้น หากเริ่มมีอาการผิดปกติควรเข้ารับการประเมินโดยแพทย์ เพื่อพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม

Written By
More from pp
ตัวตึง “พปชร” งง วัยรุ่นปลื้มดีเบต ขอฟังความคิด ก่อนตัดสินใจเลือกตั้ง
6 พฤษภาคม 2566 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกับกลุ่มตัวแทนเยาวชน ณ อาคาร 100 ปี คณะวิศวกรรมศาสตร์...
Read More
0 replies on “ต่อมลูกหมากโต โรคฮิตของผู้ชายวัยเกษียณ รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด”