“นิมิตเมืองจากชาวเมือง”

เปลว สีเงิน

มีคำที่เอามาพูดกันบ่อยๆ…….

“ถูกตบแก้มขวา ก็ยื่นแก้มซ้ายให้เขาตบด้วยซิ”
ที่จริง คำนี้ ไม่ใช่คำพูดเล่น
เป็นคำสอนของ “พระเยซูเจ้า” มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล
“เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย” (แมทธิว ๕:๓๙)

ประเด็นของพระเยซูเจ้าในประโยคนี้ อยู่ที่ว่า….
“ไม่ว่าผู้อื่นจะดูหมิ่นสบประมาทเรามากเพียงใด เราจะต้องไม่โกรธเคืองหรือแก้เผ็ด”

นี่ผมอ่านจากเว็บ Kamsonchan พิจารณาแล้ว ได้คิดว่า คำสอนทุกศาสดา-ทุกศาสนา “แก่น-หลักการ” ตรงกันหมด
ทุกศาสนา มุ่งเน้นให้ทุกคนเป็นคนดี อยู่ร่วมกันด้วยดี

เมื่อมีใครทำไม่ดี ……
ไม่ว่ากับตัวเรา หรือกับสังคมรวม จงใช้ความดี ตอบสนองความไม่ดีของเขา
คำสอนเรื่อง “ความดี-ความชั่ว” ในศาสนาอิสลาม “องค์พระอัลเลาะห์” ก็ยังทรงกล่าวว่า

“ถ้อยคำที่ให้อภัยอย่างอ่อนหวาน ย่อมดีกว่าการให้ทานแล้วทำร้ายทีหลัง”

ในพระพุทธศาสนาก็ไม่ต่างกัน “พระบรมศาสดาเจ้า” ตรัสสอนว่า
อกฺโกเธน ชิเน โกธํ อสาธุ สาธุนา ชิเน ชิเน กทริยํ ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทินํ.

พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง (ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โกธวรรค ข้อ ๒๗)

ที่ยกมาให้เห็น เพื่อจะบอกกับคนที่ทุกข์ อึดอัด-กลัดกลุ้มใจ เมื่อเห็นคนอ้างตัวเป็น “คนรุ่นใหม่” ตั้งชื่อกลุ่ม-คณะต่างๆ รายวัน ออกมาประกอบกรรมชั่วช้าสามานย์กับบ้านเมือง
มุ่งล้ม “สถาบันพระมหากษัตริย์”

พยายามแบ่งแยกความเป็น “ราชอาณาจักรไทย” ออกเป็นส่วนๆ แล้วแบ่งกันไปปกครองในระบบ “สาธารณรัฐ”
โดยมี “ประธานาธิบดี” เป็นประมุข แทน “พระมหากษัตริย์”

เป้าหมาย…….
นำประเทศไทยที่ไม่เคยเป็น “เมืองขึ้น” ใคร ไปเป็น “ขี้ข้า” จักรวรรดิอำนาจตะวันตก “รูปแบบใหม่”
“ไม่เข้ามาปกครองเอง”…….

เชิด “คนขายชาติ” บังหน้า แต่ว่า “อำนาจควบคุม” ทั้งหมดอยู่ที่ New World Order

สรุป แผนอำนาจเดียวครองโลก สู่ศตวรรษที่ ๒๑ “ควบคุมแต่ไม่ปกครอง” ผลประโยชน์จากการล้มสถาบัน-แบ่งแยกประเทศ เข้าทำนอง “วัดครึ่ง-กรรมการครึ่ง”

คือ “โจรขายชาติได้ไปเสี้ยวหนึ่ง-จักรวรรดิอำนาจตะวันตกรวบเอาไปมากกว่าครึ่ง”!

แล้วที่ประชาชนคนไทย ๖๐-๗๐ ล้านคนได้ล่ะ มันคืออะไร?
ได้ยินธนาธรบอกว่า “สู้เป็นไท ถอยเป็นทาส”
ใครเป็นทาส-ใครเป็นไท?

ดูแล้วมันจะเป็นทาสตะวันตกที่แผ่อำนาจ-แผ่อิทธิพลเข้ามายึดครองไทย ใช้เป็นฐานรบกับจีน ชิงความเป็นจ้าวในย่าน “อินโด-แปซิฟิก” ไปด้วยกันทั้งหมด

สมมติคนไทยต้องตกเป็นทาสตะวันตก นั่นเป็น “สินค้าพ่วง” จากการขายชาติ กายถูกบังคับให้เป็น แต่ใจ “คงไทย”

ตรงข้ามกับไอ้พวก “ชักน้ำเข้าลึก-ชักศึกเข้าบ้าน” ทั้งตัว-ทั้งใจยอมเป็นทาส ต้องถูกเอาตีนเหยียบหน้า-เหยียบโคตร จมไปถึงก้นอเวจีว่า

“ไอ้คนเนรคุณแผ่นดิน-ไอ้คนขายชาติ”!

แต่ไม่หรอก นั่นแค่สมมติให้ฟัง ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหนๆ ขึ้นชื่อว่า “ไทย” ไม่มีใครยอมให้ใครเอาไทยไปขายได้หรอก
ส่วน “ที่เห็น-ที่เป็น” นั่นพวก “เดนชาติ” ผูกพันมาเกิดให้คนรักชาติ-รักสถาบัน บำเพ็ญบารมี

เพราะอยางนี้ “สมเด็จพระบรมชนกนาถ” รัชกาล ที่ ๙ จึงตรัสเป็นพระบรมราโชวาท ว่า

“ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี
ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ
ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”

นี้แหละ……
นำมากล่าวกันบ่อย ได้ยินกันบ่อย อย่าให้ชินแค่ได้ยิน จงตีความพระบรมราโชวาทนี้ให้แตก แล้วทำให้เป็นดังนั้น

เหตุการณ์ คนรุ่นใหม่ คณะสามสัส ชุมนุมราชประสงค์ แล้วทำร้ายเจ้าหน้าที่…..
ทำลายทรัพย์สินทางราชการ สาดสี ฉีดสีสเปรย์ใส่ ตามป้าย ตามอาคาร ตามพื้นถนน แม้ “พระบรมฉายาลักษณ์” ก็ไม่เว้น

ด้วยข้อความหยาบคาย ด่าทอ ก้าวล่วงสถาบัน สะเทือนจิตใจประชาชน สะท้อนความถ่อยเถื่อนกลุ่มนี้
แม้สูงการศึกษา แต่ด้อยมโนธรรมสำนึก “ร่างมนุษย์” แต่สิ่งกระทำ ต่ำกว่าเดรัจฉาน!

เย็นและค่ำ ๑๘ พฤศจิกา.๖๓…..
ทิ้งภาพเมือง-วัด-สถานที่ราชการ ให้เป็นที่สลด-หดหู่ ต่อผู้พบเห็นวันรุ่งขึ้น ด้วยสกปรกเลอะเทอะ บ่งอารมณ์เถื่อนสัตว์เมืองรุ่นใหม่ ต่อสายตาทุกผู้-ทุกนาม ทั้่งโลก

นี่หรือ กรุงเทพเมืองฟ้าอมร
นี่หรือ เมืองไทย เมืองคนจิตใจดีงาม มีแต่รอยยิ้ม?

แต่วันรุ่งขึ้น ๑๙ พย. และวันวาน ๒๐ พย.คราบน้ำตาในหัวใจของผู้คนที่รักเมืองไทย พลันแห้งหาย

ใจพลันเบิกบานด้วยปีติ เมื่อเห็นภาพ……….
ในบรรยากาศหม่นกลางเมืองเงียบเหงา ด้วยใจผู้คนเฉาต่อพฤติกรรมโฉดพวกชังชาติ

คนๆ คนหนึ่ง…….
จากหนึ่ง เดินมาเติมเป็นสอง จากสอง เป็นสาม สี่ห้า…เรื่อยไป จนเป็นหลายสิบ
คนเหล่านั้น ไม่ได้นัดหมาย แต่ใจรัก-ใจภักดิ์ต่อชาติบ้านเมือง นำเอามือทั้งสอง กำผ้า กำกระป๋องสี ค่อยๆ เช็ด ค่อยๆ ล้างคราบสี-คราบสเปรย์ ที่รุ่นใหม่สามสัส ละเลงไว้เปรอะ

จากนั้น ทาสีพื้นลบรอยเลอะเทอะเก่าให้เลือนหาย ตามขั้นตอนกู้สถานะคืนสู่สภาพเดิม
เสียงสรรเสริญ อื้ออึง…….

นั่นวันแรก และวันรุ่งขึ้น คือวันวาน บาดแผลจากรุ่นใหม่พวก “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรณิการ์” กรีดไว้ในหัวใจเมือง-หัวใจประชาชน


จากเจ็บปวด ร้าว ระบม กลายเป็นดังว่า
“อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย”

เป็นดังว่า…..
“ถ้อยคำที่ให้อภัยอย่างอ่อนหวาน ย่อมดีกว่าการให้ทานแล้วทำร้ายทีหลัง”

และเป็นดังว่า……
“พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี”

เมื่อวาน ไม่เพียงผู้ถึงพร้อมความเป็นไทยทั้งกายและใจ ตั้งแต่เด็ก ๕-๖ ขวบ ขึ้นไป จะออกมาลบภาพร้ายให้กลายเป็นดอกไม้งาม “สามัคคีเผ่าไทย” บานสะพรั่งเมือง

แม้กระทั่ง “พระวรุณ”
ผู้เป็นโลกบาลประจำทิศตะวันตก ยังร่วมหลั่งฝนแทรกหนาวชำระล้างคาว-ล้างราคีเมือง อันเกิดจากน้ำมือรุ่นใหม่!

ขอบใจนะ “รุุ่นใหม่”
เพราะทราม ระยำชนิดหมาไม่แดกอย่างพวกเธอทำกับบ้าน กับเมือง กับสถาบัน นั่นแหละ

วันนี้………
จึงได้เห็นคนดีๆ ในความเป็น “พลังแผ่นดิน” ทั้งรุ่นใหม่-รุ่นกลาง-รุ่นเก่า ซึ่งปกติ เป็นคนรักสงบ ไม่ทำตัวเป็นคนรกแผ่นดิน มากมาย มากันเองเป็นสายๆ

ออกมาร่วมกัน ใช้ ๒ มือ ๑ ใจ ชำระล้างความสกปรก-โสโครก คืนความ “สะอาด-สว่าง-สงบ” ให้บ้านเมืองอันเป็น ที่รักของชาวชน


แม้คำน้อยก็ไม่บ่น…..
ทำให้เกิด “ขาว-ดำ” ตัดกัน สะท้อนทางเปรียบเทียบ “คน ๒ ประเภท” ให้เกิดภาพทางรู้สึกที่ ชัดและรุนแรง
เลว “หยิบมือ” เป็นเชื้อยีสต์
ทำให้ “ดี” รวมตัว ขยายตัว ฟู และ หนึบ-ผนึกแน่น เป็นคุณประโยชน์ ดังปรากฏ
เห็นว่า วันนี้ ๒๑ พย.กลุ่มสารเลวที่อาศัยคราบนักเรียน นัดกันออกมาเป็นซาตานเมืองอีก

ทรามด้วยสกปรก ที่ถูกลบ ขจัด ล้าง เมื่อวานซืนและเมื่อวาน พวกสารเลวจะละเลงให้เลอะซ้ำอีกหรือไม่?
ก็คอยดูพวกเขาว่า ละอายมีบ้างไหม

หรือ “รุ่นใหม่ใจบอด” ตะบัน?
พวกรุ่นใหม่ใต้ปรัชญา “สู้เป็นไท ถอยเป็นทาส” ของธนาธร แต่ละคนเก่งทั้งนั้น

แต่พอได้รับหมายเรียก โวยวาย “ตำรวจรังแกเด็ก” พอนายกฯ บอก ต่อจากนี้ ใครทำผิด จะใช้กฎหมายทุกมาตราเท่าที่มี

เอาเลย กระทั่งพวกนักการเมืองโหนเด็ก นายกฯ จะใช้มาตรา ๑๑๒ เป็นการข่มขู่-คุกคามสิทธิเสรีภาพ

เขาไม่ได้บอกว่าจะใช้มาตรา ๑๑๒ บอกว่า จะใช้ทุกมาตราเท่าที่กฎหมายมี
พวกคุณทำผิดเข้ามาตราไหน ก็ถูกมาตรานั้น ไม่แปลก อันที่จริง มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช้ซีแปลก


.ทีงี้ อ้างสิทธิเสรีภาพ แล้วที่ทำ จ้วงจาบหยาบช้าผู้อื่น แบบนั้น ล่วงเกิน-คุกคาม สิทธิเสรีภาพผู้อื่นเขามั้ย?

ถึงเวลาแล้ว ……..
ที่ต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”

ช่วงนี้ แค่สีตก…..
แต่เดือนหน้า พวกนี้ จะทำให้ “เลือดตก”

คนดีทั้งหลาย ไม่ต้องไปเอียงแก้มให้เขาตบ เพราะมันถึงทางตันแล้ว “หน้ามืด”
จะ “ตบกันเอง” จนเลือดตก!

ขอบคุณภาพจากเพจ จิตอาสาพระราชทาน

Written By
More from plew
ก็มันยาว “ก่อนจะเป็นศพ”
เปลว สีเงิน “แดงส้ม ๓ นิ้ว” เกิดการยิงกันเองในหมู่คณะ เป็นเรื่องไม่ผิดคาดหมาย! ประหนึ่ง “อาถรรพณ์แผ่นดิน” เคยเกิดเช่นนี้มาก่อนแล้วเมื่อ ๘๘ ปีก่อนโน้น!
Read More
0 replies on ““นิมิตเมืองจากชาวเมือง””