“เศรษฐา” ที่ไม่รู้ “หน้าที่” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

คำสอน “ศาสนา-วิชาการ-ทฤษฎี-ลัทธิ-ตำรา”
มันคือ “กรงขัง”
ใครโง่ ก็หลงเข้าไป ถูกขังทั้งตัว ทั้งความคิด

ทุกหลักการ-ทุกระบบ-ระบอบบริหารและปกครองบรรดามีในโลก กระทั่งว่า “ประชาธิปไตย-เผด็จการ”
กรงขัง “คนโง่” ทั้งนั้น!

สังคมโลก ล้วนดิ้นขลุกขลักอยู่ในกรงขังนั้น แต่หารู้ตัวไม่ ก็ยังบ้าใบ้-คลุ้มคลั่ง ด้วยกริยาการต่างๆ นาๆ กันไป

เครียดในกรง ก็กัดกันเอง เพื่อแย่งอาณาจักรกรงตามสัญชาตญาน ด้วยจิตวิญญานที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยจากกรงขังคิด นั้น

ก็ยังผยองโง่ กูรู้..กูฉลาด..กูไม่เครียด…กูคือนายกรง ไม่ใช่สัตว์ในกรงขัง!?

โถ…สัตว์โลกผู้น่าสงสาร
ในภาพพรวมสังคมโลก “สงครามโลก ครั้งที่ ๓” กรายหัว ใกล้เข้ามารอมมะร่อ

ในภาพย่อ เฉพาะ “สังคมประเทศไทย”
“วิกฤติชาติ” ด้วยเศรษฐกิจ-การเมือง “ล่มเมือง” จากโมฆบุรษบริหาร กำลังแผ่ซ่านไปทุกซอกแผ่นดิน

“สังคมโลก” และ “สังคมเรา” ติดอยู่ในกรงขังนั้น เรียกมันว่า”  กรงขังประชาธิปไตยเลือกตั้ง”!

ไม่ต้องกลัว ๓ นิ้ว ๔ นิ้ว หรือนิ้วเดียว จะล่มชาติหรอก
ประชาธิปไตยเลือกตั้ง “ไร้สติ” นั่นแหละ จะเป็นตัวล่ม!

ผมเชื่อ ที่ผมพูด “ไม่มีใครเชื่อ”!

ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด เพราะผมไม่ต้องการเห็น ผู้โหยหาประชาธิปไตยเลือกตั้ง ต้องบนบานขอให้เทวดาส่ง “ขอนไม้” ดุ้นใหม่มาแทน” ขอนประชาธิปไตย”ที่เลือกกันได้มาจนสาสม-สะใจขณะนี้

และใครก็อย่าออกมาเป็น “พระเอกขี่ม้าขาว” เป็นอันขาด
ตอนนี้ “คนไทยกำลังมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”
กำลังอยู่ดี มีอนาคต กับรัฐบาลโจรสนตะพาย

รายได้ต่อครอบครัว ครอบครัวไหน รายได้ยังไม่ถึง ๒ หมื่นไม่ต้องกลัว เศรษฐาบอก เขาจะเติมให้ทุกเดือน-ทุกครอบครัว เป็น ๒ หมื่นบาท

อุ๊งอิ๊ง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เขาสัญญา ค่าแรงขั้นต่ำ ๖๐๐ บาท ภายในปี ๒๕๗๐ แต่ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ต้นปีหน้า ค่าแรง…ขึ้นแน่นอน

ประเทศกำลังมีอนาคต คนไทยกำลังรวย และกำลังสุขจากสนตะพายพาวเวอร์

กำลังมีเงินเติม ๒ หมื่นบาททุกครอบครัว จากรัฐบาลที่เลือกกันมากะมือ-กะตีน ใครยังไม่ได้ ไปทวงสัญญาเอากับนายกฯ เศรษฐาได้เลย

และใครก็อย่าออกมาเป็นมารขวางรวย ขวางอนาคต ขวางสุข ที่ประชาชนคนไทยกำลังได้จากรัฐบาลที่เขาเลือกมาเป็นอันขาด

ปล่อยให้ชาวบ้านอยู่กับรัฐบาล “ประชาธิปไตยคอร์รัปชันนิยม” กันให้หนำใจ

๔ ปี ถ้ายังไม่หนำ …..
ต่ออีก ๔ ปี ยังหนำไม่พอ ก็เลือกกันต่อ เอากันให้มันหนำสุดๆ จนอ้วกสะใจ คิดออก-บอกได้ตอนไหน ค่อยชู ๓ นิ้ว หรือยกตีนตบให้สัญญานตอนนั้นละกัน

เศรษฐาเป็นนายกฯ คนไทยเป็นเศรษฐี
ฉะนั้น ใครยื่นขาเข้ามาให้เศรษฐาสะดุดตีนล้ม ถือว่าคนนั้น เป็นมารขวางความรวยคนไทย

เข้าใจให้ตรงกันตามนี้นะ!

ทุกอย่าง มันมีราคาต้องแลกเปลี่ยน อะไรที่ได้มาเปล่าๆ ถึงแม้มีค่า เราก็จะไม่รู้ค่ามัน

ต้องใช้ความสูญเสีย ความเจ็บปวด เข้าแลกเปลี่ยน
และใช้ชีวิต “ชีวิตคับแค้น” เข้าเรียนรู้

โบราณใช้คำว่า “เจ็บแล้วจำ” บ้าง “ต้องให้เลือดหัวตกเสียก่อน จึงจะสำนึก” บ้าง มันต้องให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ

คำว่า “บทเรียน” และคำว่า “ประสบการณ์” จึงจะเกิด

อย่างปี ๒๕๔๐ ถ้าไทยไม่เกิด “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ทางการเงิน “การเงิน-การคลัง” ไทย…
ก็จะไม่มีคำว่า “เสถียร” มาตรฐานโลก ดังทุกวันนี้!

“ประสบการณ์” และ “การเรียนรู้” เท่านั้น
ทำให้มนุษย์พ้นจาก “กรงขังความโง่” สู่ความหลุดพ้นนิรันดร์ ฉะนั้น ต้องให้สังคมไทยได้เรียนรู้

และต้องให้มีประสบการณ์ “ประชาธิปไตยเลือกตั้ง” ด้วยตัวเอง จะได้ไม่ผิดซ้ำซาก ด้วยติดอยู่ในกรงขัง “ประชาธิปไตยลอกกาก” จากนักวิชาการงั่งหลงยึดตำรา

“ประสบการณ์”
เป็น “สิ่งเดียว” เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่อง “ทะลายกรง” ที่ขัง ทั้งร่างกายและจิตวิญญานมนุษย์

“ความเชื่อ” ที่ปราศจากการค้นหาในทุกศาสน์และศาสตร์ ทุกตำรา ทฤษฎี หลักการ และทุกระบอบ-ระบบ บรรดามี!
เป็น “กรงขัง” คนโง่ทั้งสิ้น

ผมไม่ได้พูดเอง หากแต่ “พระพุทธองค์” ตรัสบอกไว้

การที่พระพุทธองค์ทรงบรรลุ “อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ” สู่ภาวะ “พระผู้พ้นโลก”

นั่นมิใช่ด้วยศาสตร์ หรือศาสน์ คือคำสอนจากศาสดาองค์ใด หรือจากทฤษฎี, ตำรา หรือจากหลักการใดๆ ของใคร ทิ้งสิ้น

“ประสบการณ์” ของ “ความจริงนิรันดร์”

สิ่งเดียวนี้เท่านั้น ทำให้พระพุทธองค์สู่ภาวะ “พระผู้พ้นโลก”!

“สัญชัยปริพาชก” อาจารย์พระโมคคัลาน์-พระสารีบุตร สงสัยนัก ทำไม ๒ ศิษย์เอกในสำนักเขา ถึงมาบวชเป็นสาวกพระพุทธเจ้า

สัญชัยปริพาชก ทูลถามพระพุทธองค์ว่า
“หลักการท่านคืออะไร ท่านสอนเรื่องอะไร?”

“พระบรมศาสดาเจ้า” ตรัสบอก ดังนี้…..

“เมื่อไรก็ตาม ที่คนเรายึดมั่นใน “หลักการชีวิต” ของเขาและเมื่อนั้นแล้ว เขาจะสูญเสียอิสรภาพ จะกลายเป็นคนที่ “ยึดติด”

เขาจะคิดว่า หลักการของเขานั้น ถูกต้องทุกอย่าง และความเชื่อของตัวเองนั้นถูก ส่วนที่เหลือ ไม่ใช่เรื่องจริง

และเมื่อเราเสีย “อิสระทางความคิด” เราจะยึดติดทาง “ความคิดเดียว” มนุษย์เราก็จะยิ่งทุรนทุราย
เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ดิ้นรน” และความ “ขัดแย้ง”

ความเชื่อใน “สิ่งใด-สิ่งหนึ่ง” ถึงจะเชื่อว่า “ไม่เชื่อ” ก็ทำให้คน “ยึดติด”

“ความคิด” มีพลังมหาศาล และมัน “จับเราไว้” จับไว้อย่างแน่นหนา

การ “ยึดติดกับความคิด” คือ “อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุด” ของการเติบโตจิตวิญญาน

หากเราติดอยู่ในนั้น ประตูแห่งความรู้อันนิรันดร์ก็จะไม่เปิดออก”

“สัญชัยปริพาชก” ถามสวนกลับ ว่า…
“แล้วคนที่ทำตามคำสอนของท่านจะไม่ติดกับงั้นหรือ?”

พระพุทธองค์ ตรัสตอบ
“ข้าพูดถึงประสบการณ์ของตัวเอง หนทางของข้าไม่ใช่หลักการและไม่ใช่ปรัชญา
มันคือประสบการณ์ล้วนๆ “ประสบการณ์ของความจริงนิรันดร์”

หนทางของข้าคือ “การเรียนรู้” มันไม่สามารถ “ยึดติด” หรือสามารถเอาเป็นเครื่อง “ยึดเหนี่ยว” ได้เลย

“ความรู้” ของข้า ก็เป็นเสมือนเรือลำหนึ่ง มีไว้ใช้ข้ามแม่น้ำเพียงครั้งเดียว แต่หลังจากข้ามแล้ว เราก็จะไม่ต้องแบกเรือไว้บนหัวอีกต่อไป ใช่หรือไม่?

อารมณ์ มีด้วยกัน ๓ รูปแบบ สุข, ทุกข์ และวางเฉย ทั้งสามแบบ รวมอยู่ในกายของเรา และในจิตของเรา

“อารมณ์” ก็เป็นเหมือนดั่ง “คลื่น” ไม่นาน…เดี๋ยวมันก็จางหายไป เราต้องเห็น “ความลึก” ของอารมณ์เหล่านี้เสียก่อน

ต้องเข้าใจมัน ต้องรู้จักมัน รู้ว่า มันเกิดมาจากที่ไหน?

ไม่ว่าท่าน “จะสุข” หรือว่าท่าน “จะเศร้า”
จงดูจาก “ที่มา” ของมัน

เมื่อค้นพบ “ที่มา” ของมันแล้ว ท่านจะรู้ว่า แท้จริงแล้ว มัน “ว่างเปล่า”…มัน “ว่างเปล่า”

เหมือนกับท้องฟ้า มันว่างเปล่า แต่ว่าได้ห่อหุ้มทุกอย่างเอาไว้ข้างใน

ท่านต้องฝึกฝน เมื่อฝึกฝนแล้ว ท่านจะค่อยๆ พบว่า
“คลื่น” นั้น มันจะ “หยุด” ซัดสูงขึ้น

ความ “สงบอันนิรันดร์” ในตัวของเรา ก็คือ “ความจีรัง”

ท่านจะลงลึกลงไป และพบว่า ตัวเองได้เดินทางผิด สิ่งที่เน่าเปื่อย ท่านจะคิดว่า มันทำลายไม่ได้

“ความเขลา” คือ รากเหง้าของ “ความชั่วร้าย”

ตอนนี้ ข้าแค่พูดถึงการทำ “สมาธิ”

“สมาธิ” ทำให้ “ความเขลา” หมดไป ความเขลาไม่ได้หมดไปโดยความเลื่อมไส โดยการอดอาหาร หรือของถวาย หรืออย่างอื่น

ท่านหลับมานานแล้ว…สัญชัย ตื่นเถิด จงตื่น จงระลึกถึงตัวเอง”

ครับ….
อยากให้เศรษฐาค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ตรองตามแต่ละคำ ในแต่ละวรรค

คุณเป็นนายกฯ ที่ “ไม่มีเรือ” แม้แต่ครึ่งลำ แต่ตำแหน่งหน้าที่นายกฯ มันคือ “แม่น้ำ” ที่กว้างใหญ่

อย่าต้องไปพูดถึงแบกเรือไว้บนหัวเลย

เพราะคุณได้แค่ตะโกนโหวกเหวกไปวันๆ อยู่ริมแม่น้ำ มองไม่เห็นเลยว่าคุณมีเรือ คือ “ความรู้” อะไร ที่จะใช้ข้ามแม่น้ำไปได้!?

การทำงานไม่รู้จักเหน็ด-จักเหนื่อย ด้วยการตะลอนไปหาแสงจังหวัดโน้น-นี้ทุกสัปดาห์ อ้างว่าไปตรวจราชการนั้น
เขาไม่เรียกว่าการทำงานของนายกฯ หรอก

แต่เขาเรียก “คนไม่รู้หน้าที่ตัวเอง” ตะหาก!

คือ “เป็นไม่เป็น”
ตัวเองเป็น “ผู้นำบริหาร” ประเทศ

แต่ดันไปเป็นเซลแมน “ฉายหนังเร่ขายยา” หรือไม่ก็ไปเป็นโชเฟอร์ “รถทัวร์-รถบรรทุก” ข้ามจังหวัด ดีกว่านั้น ก็เป็นผู้ตรวจราชการ

งานหลักผู้นำบริหาร คือการวางแผน จัดระบบ ควบคุม สั่งการ อำนวยการ ตัดสินใจ
ไม่ใช่งานออกล่าผ้าขะม้าผูกเอวหรือพันคอ!

“จุดอ่อน-จุดแข็ง” ประเทศไทย อยู่ตรงไหน เศรษฐามองทะลุหรือยัง?

ผมว่า “ยัง”

ภาวะผู้นำของเศรษฐาในรอบ ๑๐-๑๑ เดือน จึงออกมาในภาพ “ตาบอดคลำช้าง”!

เปะปะ-ไร้ทิศทาง ในทางบริหาร อนาคตประเทศ “น่าห่วง” ที่สุด

ในภาวะโลกเปลี่ยน จงหาตัวเองด้านเศรษฐกิจการลงทุนให้เจอ แล้วไปเน้นตรงที่เรามี-เราเป็นได้ อย่าไปเน้นต้องเป็นตามเขาไปเรื่อย

“เกษตร-บริการ-อาหาร-ท่องเที่ยว-วัฒนธรรม-จิตนำสุข”

นี่…คือ “จุดแข็ง” ไทย ที่เรามี-เราเป็น ใครก็สู้เรายาก

ไอ้นโยบาย “ขายคอนโด-ขายแผ่นดิน” ๗๕% ๙๙ ปี นั่นน่ะ
ไปไกลๆ เลย…ไป๊ เศรษฐา!

เปลว สีเงิน
๑ กรกฏาคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
มันจะอะไรกันนักหนา- เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน ช่วงนี้ มีแต่คนนับนิ้วมือ….. วันนี้ ๒๖ พรุ่งนี้ ๒๗…๒๘…๒๙ และก็ ศุกรที่ ๓๐ กันยา.
Read More
0 replies on ““เศรษฐา” ที่ไม่รู้ “หน้าที่” #เปลวสีเงิน”