เปลว สีเงิน
สส.เพื่อไทย “กรีดเลือดในสภา” ประกอบฉากไล่ให้นายกฯ ลาออกเย็นวาน (๒๗ ตค.๖๓) นั้น
ไม่น่าเจ็บตัวเปล่านะ!
เพราะฉากนั้น “ยึดพื้นที่ข่าว” ได้แน่แถมแนวร่วมในถนนยังจะนำไปปั่นกระแสการชุมนุมประจำวันได้อีกตะหาก
ที่สำคัญ ช่วงนี้ เป็นช่วงเทศกาลหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น และดูเหมือนว่า วงศ์วานของสส.ท่านนั้น ลงสมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย
เมื่อกรีดโชว์ และโทรทัศน์ถ่ายทอดสด ……..
ยังไงๆ รายการนี้ ไม่เจ็บฟรีแน่นอน แฟนๆในจังหวัดของตนที่ชมอภิปรายหน้าจอ เห็นก็ต้องฮือฮา เรียกศรัทธา-เรียกคะแนนได้ตรึม!
เผอิญผมนั่งดูอยู่หน้าจอพอดี เห็นถอดเสื้อนอก ถลกแขนเสื้อเชิ้ต หยิบมีดที่เตรียมไว้ บอกจะกรีด
ผมหลับตาปี๋!
ผมเป็นคนกลัวเลือด เคยเห็นพาร์ตเนอร์ตามบาร์เมายาแล้วกรีดแขนติ๋งๆ จะเป็นลม ส่วนความดุเดือดเลือดพล่านนั้น เห็นมามาก แต่ถึงขั้นสส.กรีดเลือด เพื่อให้นายกฯลาออก ยังไม่มีใครทำให้เห็น
ก็เข้าใจความรู้สึก “สส.เพื่อไทย” ท่านนั้นนะ
ชินแต่สถานะรัฐบาล ไม่ชินกับการเป็นฝ่ายค้าน ถึงเคยก็แป๊บๆ แต่คราวนี้ ยาวนาน ๖-๗ ปี
และนับวัน นายกฯ ประยุทธ์บริหารประเทศ จากแลหลังเห็นแต่ซากและเศษกระดูกที่เขาแทะทิ้งกันไว้
แต่ตอนนี้….
ทั้งแลหลังไป ๕-๖ ปีก่อน ทั้งแลไปอีก ๒๐-๓๐ ปีข้างหน้า อนาคตแห่ง “ศตวรรษใหม่” เรืองรอง วิบๆ วับๆ เห็นอยู่!
ขืนปล่อยให้นายกฯ ประยุทธ์บริหาร “ราบเรียบ” ไปเรื่อยๆ พรรคเพื่อไทยมีแต่ “ตายแห้ง-ตายกระเทียม” ไม่ได้ผุด-ไม่ได้เกิด
ก็ต้อง “หาเรื่อง-หาเหตุ” มาเบรก
เบรกทั้งมือ-ทั้งเท้าแล้ว ทั้งในสภาและในถนน ก็ยังเบรกการทำแต้มของนายกฯ ไม่อยู่
แค้นมันแน่นอก
เมื่อเลยขีดควบคุม ก็เป็นอย่างที่เห็นในจอ เฉือนแขนตัวเองพอให้เลือดไหลยางบอนเป็นสัญลักษณ์ ประกอบลีลาไล่นายกฯ!
อาจดีในมุมคิดเขาขณะนั้น
แต่ผมเห็นว่า “ไม่ดี” ไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตยตามที่พร่ำพล่าม ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยระบบเผด็จการ หรือระบบรัฐสภาเลือกตั้ง หรือระบบไหนๆ ทั้งสิ้น
กำลังสอนประชาธิปไตยให้ “รุ่นใหม่” ศึกษากันอยู่มิใช่หรือ?
การกรีดเลือดหรือการใช้ความรุนแรงใดๆ มันไม่ใช่วิธีการนำไปสู่ทางออกให้บ้านเมืองตามระบบรัฐสภา
สส.ผู้ทำ ก็ไม่ใช่เด็ก!
เป็นมาแล้ว ๘-๙ สมัย เคยเป็นถึงระดับ “รัฐมนตรี” ด้วยซ้ำ น่าจะมีความใคร่ครวญในการทำใดๆ ได้มากกว่านี้
ก็ไม่อยากให้ฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง นำกรณีนี้ไปขยายความเป็นสาระฮีโร่ “เดินแต้ม-เดินเกม” ทางการเมือง
จบแล้ว ก็ให้จบเลยแค่นั้น ถือเป็นทางแก้ดีที่สุด!
จากเหตุฉับพลัน-เฉพาะหน้านี้ คนที่ต้องชื่นชมและยึดถือเป็นแบบอย่างควรกลาวขานไว้ คือ
อดีตนายกรัฐมนตรี “นายชวน หลีกภัย” ผู้เป็นประธานรัฐสภา!
“ความนิ่ง” บอก “ความลึก” ของน้ำ ฉันใด
การใช้ความนิ่งสยบความตื่นตระหนกสมาชิกรัฐสภาให้คืนภาวะสงบ ดำเนินการอภิปรายต่อไปได้ไม่สะดุดหยุดชงัก
นั่นคือภาวะ “สุดยอด” ผู้นำ
ถึงแล้วซึ่งคำว่า “วิญญูชน” อันบุคคลทั้งหลาย ไม่ว่าคนพาลและบัณฑิต ยอมรับนับถือ, เคารพ, เชื่อฟัง ทั้งปากและใจ
ท่านที่ดูโทรทัศน์อยู่ตอนนั้น ผมคิดว่า ทุกคนต้องจับจ้องไปที่อดีตนายกฯ ชวน ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมพอดี ว่าจะสนองตอบเหตุการณ์นั้นอย่างไร?
คนอายุ ๘๐-๙๐ แต่สมองเฉียบขาด-ฉับไว ขนาดคนอายุ ๒๐-๓๐ ยังมีไม่ได้ ต้องยกให้ท่านประธานชวน
พอ สส.ผู้นั้น ตะโกนจะกรีดเลือด ปุ๊บ
ท่านทำหน้าที่ผู้ควบคุมการประชุมปั๊บ “ไม่อนุญาต”!
แล้วดำเนินการอภิปรายต่อ เหตุการณ์เฉพาะหน้านั้น ไม่สามารถดึงท่านไปร่วมอยู่ใน “เกมนอกกติกา” ได้เลย
อย่าว่าแต่อาการหรือสีหน้า กระทั่งหางตาท่านก็ยังไม่ชำเลืองไปแล
กับเรื่องที่ “แม่ทัพสั่ง” แล้ว แต่ลูกทัพ “ไม่เชื่อฟัง”!
จนทำหน้าที่เสร็จ ท่านจึงไปถามไถ่เยี่ยมดูอาการสส.ด้วยห่วงใยและสส.ท่านนั้น เมื่อเครียดคลั่งคลาย ท่านก็ได้สติ
รู้เบา-รู้หนัก, รู้ควร-ไม่ควร ในสิ่งที่ทำไป
ก็น่าดีใจ เมื่อท่านคิด,ใคร่ครวญได้เช่นนั้น ก็เป็นที่หวังได้ ว่าท่านต้องไม่แนะนำสส.รุ่นน้องๆ ว่า นั่นเป็นการต่อสู้วิถีประชาธิปไตย ให้ยึดถือไปทำต่อ
มองกลับอีกมุมหนึ่ง……
ภาพ “ภาวะผู้นำ” ประธานชวน สยบการแตกตื่นสส.-สว.ในรัฐสภาต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าให้สงบฉับพลัน
ภาพสส.ผู้สร้างเหตุ สำนึกในสิ่งที่ทำ
ขอโทษต่อรัฐสภาและต่อท่านประธานชวน ยอมรับว่าตัวเองทำผิดกฎ-ผิดระเบียบ
+ – กลับเป็น ++ เรียกคำว่า “ความสวยงามทางประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ให้กลับคืนมาได้ทันท่วงที!
จบและลืมฉากนี้กันไปเถอะครับ ใครก็อย่านำเหตุไปต่อความยาว-สาวความยืด “ปลุกกระแส” กันเลย
การเมืองระบบสภา อย่าคาดคั้นมั่นหมายไปในทางเป็นศัตรูต่อกัน ถือซะว่าเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง
ชนะก็ไม่ตลอดไป แพ้ก็ไม่ตลอดกาล มีสปิริต ยึด “กฎ-กติกา” ในการเล่นไว้
“การเมือง” ก็จะเป็นกีฬา แพ้ชนะตามกติกา ก็จะสนุกทุกฝ่ายทั้ง “คนเล่น-คนดู” เรื่องง่ายๆ อย่าไปทำให้มันยาก
ถ้าทำให้มันยาก ….
“กีฬา-ยาวิเศษ” จะกลายเป็น “กีฬา-กาลี” ทันที!
เอาเป็นว่า การประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ๒ วัน ๒ คืน เพื่อหาทางออกให้ประเทศ จบไปตอนใกล้ ๔ ทุ่มเมื่อคืน (๒๗ ตค.๖๓)
บางคนอาจบอก “ไม่เห็นได้อะไรเลย”
แต่ผมขอบอก….
“ได้…และได้แน่”!
อย่างน้อย “ได้คิด” เช่น ที่คิดกันว่า “นายกฯลาออกแล้ว ทุกอย่างจบ” นั้น มันจบได้อย่างไร
ฝ่ายค้านเอาอะไรมารับรองคำที่ว่า “ทุกอย่างจบ”?
ม็อบในถนนเป็น “ม็อบใบสั่ง” ฝ่ายค้าน สั่งให้หยุดได้-เลิกได้งั้นหรือ?
ก็เห็นบอกว่าไม่ใช่..ไม่เกี่ยวข้องกัน …..
ม็อบในถนน “ม็อบสามสัส” เขาไม่ต้องการแค่นายกฯ ออก เป้าหมายเขาก้าวไกลกว่านั้น ถึงขั้น “ล้มสถาบัน” โน่น!
ฉะนั้น ที่จะคาดคั้นให้นายกฯ ลาออก โดยฝ่ายตัวเองแสดงเหตุผลไม่ได้ว่า
นายกฯ บริหารราชการผิดพลาดร้ายแรงถึงขั้นให้อยู่ต่อไปไม่ได้ตรงไหน ถ้าอยู่ต่อประเทศชาติจะเสียหายด้วยเรื่องอะไร?
ก็บอกไม่ได้ทั้งสิ้น ……
เพราะมันเป็นเพียงความเคียดแค้นส่วนตัว-ส่วนพรรค ทั้งทนเป็นฝ่ายค้านไม่ได้ แต่พูดตรงๆอย่างนั้นไม่ได้ ก็พาโลสรุป “นายกฯต้องลาออก” แบบด้านๆ
มันน่าเกลียดนะ
ถ้านายกฯ ลาออก นั่นแหละ “นายกฯผิด” ไม่มีความรับผิดชอบ หนีปัญหาเอาตัวรอด
ยุ่งนัก “ยุบสภา” ไปเลย เอามั้ย ก็ไม่เอากัน
ไม่แน่ใจว่าเลือกตั้งใหม่แล้วจะชนะได้เป็นรัฐบาล สู้รวมหัวตะโกนกดดันให้นายกฯลาออกง่ายกว่า เตรียมตีกัน “สุดารัตน์” ดันก้น “ชัยเกษม” รอท่าไว้แล้วมิใช่หรือ?
เชื่อนายใหญ่ตะพึด-ตะพือ จนจะตกคู-ตกคลองแล้วยังไม่รู้สำนึก!
เอาเท่านี้กระมัง พรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อ!