วันนี้ “ปารีณา” วันหน้า “สมพร” – เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

“ตอนนี้ตัวชา กำลังทำใจอย่างเดียว ไม่ต้องทำพื้นที่แล้ว เพราะเหมือนคนตกงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีสภาให้ไป ไม่มีไก่ให้เลี้ยง ไม่เหลืออะไรแล้ว”
-น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์
อืมมมมม…..
ก็เข้าใจคุณเอ๋นะ จนที่น่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก อย่าจนใจก็แล้วกัน หญิงสามศอกอย่างคุณ เหมือนลูกพระพาย “ตายไม่เป็น” หรอก เดี๋ยวก็ฟื้น

ตอนนี้ คุณเอ๋น่าจะหายตัวชาแล้วนะ
ฉะนั้นก็ ลองอ่านคำวินิจฉัยบางตอนของศาลฎีกา เมื่อวาน (๗ เมย.๖๕) ตามที่ปปช.ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัดราชบุรี

อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม นั่นน่ะ ตอนหนึ่งในคำวินิจฉัยมีว่า

ศาลเห็นว่า…………….

ข้อเท็จจริงที่ผู้คัดค้านครอบครองที่ดิน 665 ไร่ 1 งาน 53 ตร.ว.เป็นพื้นที่สีส้ม โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ใด ขณะที่ที่ดินบริเวณโดยรอบ มียื่นขอออกเอกสารสิทธิ สปก. 4-01 หลายแปลง

จึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่า ผู้คัดค้านประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ย่อมต้องทราบว่า มีการปฏิรูปที่ดิน เช่นเดียวกับคนอื่น

ต่อมาวันที่ 17 มิถุนายน 2562 สำนักงานปฏิรูปที่ดินฯ ประกาศให้มีการยื่นขอปฏิรูปที่ดินอีกครั้ง โดยเอกสารการยื่นขอปฏิรูปที่ดิน กำหนดคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต้องมีอาชีพเป็นเกษตรกร และไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง

สำนักงานปฏิรูปที่ดินฯ จะจัดสรรที่ดินให้ไม่เกินคนละ 50 ไร่ ซึ่งผู้คัดค้านก็ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน เพราะมีที่ดินมากกว่าคนอื่น

การเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินอาจมีผลให้ผู้คัดค้านสูญเสียที่ดินได้ และการที่ผู้คัดค้านครอบครองที่ต่อจากบิดา โดยรู้ว่าเป็นที่เกษตรกรรม มีเจตนาไม่ส่งคืนเพื่อจัดสรรให้เกษตรกรและเลี่ยงการเข้ากระบวนการปฏิรูปมาตลอด

จนมีการตรวจสอบ ผู้คัดค้านจึงคืนที่ดินให้ทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข ข้อเท็จจริงหาใช่สมัครใจส่งมอบเองตามที่อ้าง ประกอบกับผู้คัดค้าน เป็น ส.ส. 4 สมัย ย่อมมีความรู้เกี่ยวกับที่ดินเขตปฏิรูป การครอบครองที่ดินของจำเลยยังเป็นการปิดโอกาสเกษตรกรรายอื่น ไม่สามารถได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินได้ คนทั่วไปจะแคลงใจว่า เหตุใดผู้คัดค้านจึงสามารถครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปได้หลายร้อยไร่

เมื่อตรวจสอบสถานะผู้คัดค้านมีรายได้จากการเป็น ส.ส. 4 สมัย ใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่ในรัฐสภา ไม่ใช่เกษตรกรอาชีพ มีกรรมสิทธิ์ที่ดินของตัวเองหลายสิบแปลง และมีที่อยู่อาศัยคนละพื้นที่กับที่ดินพิพาท

การครอบครองที่ดินเขตปฏิรูปโดยทราบว่าไม่มีคุณสมบัติและไม่มีเอกสารสิทธิ์ ส.ส.ย่อมไม่ควรปฏิบัติ การกระทำของผู้คัดค้านเสื่อมเสียเกียรติ และมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ข้อ 17 ที่ต้องรักษาชื่อเสียง ตำแหน่งหน้าที่ของ ส.ส. และไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์

แม้ต่อมา จะส่งคืนที่ดินทั้งหมด ก็ไม่ทำให้การฝ่าฝืนจริยธรรมฯ ที่เกิดขึ้นแล้วเป็นไม่เกิดขึ้นได้

ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่านำรายได้จากการทำเกษตรในที่ดินเขตปฏิรูปมาเลี้ยงดูบิดา ซึ่งเป็นหลักศีลธรรมนั้น เห็นว่าการเลี้ยงดูบิดา ต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย และคนทั่วไปก็มีหน้าที่ไม่ต่างจากผู้คัดค้าน

จึงพิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่ 25 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่

และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป มีผลให้ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิ์รับเลือกตั้งเป็น ส.ส., สว. ผู้บริหารท้องถิ่น และดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 วรรคสี่ และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561 มาตรา 81, 87 และมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ข้อ 3 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง

ทั้งนี้ คำพิพากษา ให้มีผลทันที และให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป
…………………………..

คำว่า “ผู้คัดค้าน” ในที่นี้ หมายอดีต สส.ปารีณา หรือคุณเอ๋ ก็บอกให้ทราบ เผื่อบางท่านงง
และควรทราบด้วยว่า เรื่องของคุณเอ๋ “ยังไม่จบ” แค่นี้

ที่ตัดสินเมื่อวาน จบแค่ส่วน “คดีทางการเมือง” ตามที่ปปช.ร้องขอให้ศาลวินิจฉัยด้านผิดจริยธรรมเท่านั้น
ยังมีอีกส่วน ที่จะทำให้คุณเอ๋ตัวชาได้อีก!

นั่นคือในส่วน “คดีอาญา-แพ่ง” ที่กรมป่าไม้ แจ้งความให้ “กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” (ปทส.) ดำเนินคดีไว้ ๔ ข้อหา เมื่อ ๒ ธค.๖๒

๑.กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔มาตรา ๕๔ ฐาน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าเข้ายึดถือและครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต

๒.กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต

๓.กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ ฐานเข้าไปยึดถือครอบครองก่นสร้าง เผาป่า ทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินในที่ดินของรัฐโดยไม่มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

๔.พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๙๗ การกระทำหรือละเว้นกระทำด้วยประการใด โดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย อันเป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ มีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลายสูญหายหรือเสียหายไป

และเมื่อ ๕ พย.๖๓ ปทส.ส่งสำนวนต่ออัยการแล้ว และไม่เพียงปารีณาคนเดียวที่ตกเป็นผู้ต้องหา
นายทวี ไกรคุปต์ ผู้พ่อ เจอคดีรุกที่ดินรัฐ ที่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กว่าพันไร่ด้วย

คดีในส่วนอาญา-แพ่งนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาสำนวนของอัยการ

ครับ….
เรื่องนี้ จะว่าไป ค่อนข้างหนักหนา คุณปารีณาบอกว่าตัวชาเมื่อทราบคำตัดสิน เข้าใจเลย ถ้าเป็นผม คงถึงขั้นเป็นลมชัก เพราะมันเป็นสัญญานบ่งบอกถึงผลคดีทั้งอาญา ทั้งแพ่งในอนาคต

แต่มีอีก ๒-๓ คน ที่อาจตัวชาเหมือนปารีณา คือ ๓ แม่ลูก “นางสมพร-ชนาพรรณ-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”

คือเมื่อ ๒๒ เมย.๖๔ นางสมพรไปรับทราบข้อกล่าวหาที่บก.ปทส.ในความผิดตามพรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ เจริญรอยเดียวกันกับปารีณา

เรื่องบุกรุกป่าของนางสมพรและลูกๆ แบ่งเป็น ๒ ส่วนเหมือนกัน คือ

ส่วนที่หนึ่ง….
-การเพิกถอนโฉนดที่ดิน น.ส.๓ ก.โดยกรมป่าไม้ ส่งเรื่องไปกรมที่ดิน เพื่อเพิกถอนโฉนด โดยอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอน น.ส.๓ ก. ทั้ง ๕๙ ฉบับไปแล้ว เมื่อ ๒๙ มีค.๖๕

ส่วนที่สอง….
-การดำเนินคดีอาญา กรมป่าไม้ส่งสำนวนไปยัง บก.ปทส.เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม เป็นคดีอาญาเลขที่ ๔-๖/๒๕๖๔

แต่เมื่อธ.ค. ๖๔ พนักงานสอบสวน บก.ปทส.มีความเห็นไปยังอัยการ “ไม่สั่งฟ้อง” นางสมพร กับพวก
ทำให้ “กรมป่าไม้” ต้องทำหนังสือถึงอัยการจังหวัดราชบุรี “เห็นแย้ง” ความเห็นพนักงานสอบสวน โดยขอให้อัยการฟ้องคดีนี้

ปัจจุบัน เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการจังหวัดราชบุรี

นอกจากนี้ นางสมพรยังถูกกล่าวหาอีก ๑ คดีจากกรมป่าไม้ โดยส่งเรื่องไปยังเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

เพื่อขอให้ดำเนินคดีนางสมพร ในฐานความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

กรณีการยึดถือ หรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หรือแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันมีลักษณะเป็นการค้า

ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ปปง.พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๓(๑๕)ในการถือครองที่ดิน น.ส.๒ จำนวน ๗ แปลง เนื้อที่ ๒๕๐ ไร่ และ ภ.บ.ท.๕ จำนวน ๑ แปลง เนื้อที่ ๙๐ ไร่ รวม ๘ แปลง เนื้อที่ ๔๔๐ ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี

ปัจจุบันเรื่องยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ปปง.!

อืมมมม….
เรื่องบุกรุกป่านี่ จะเข้าลักษณะ “เด็ดปารีณาสะเทือนถึงแม่สมพร” หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ วานซืน (๖ เมย.)  “คุณอัษฏางค์ ยมนาค” โพสต์เฟซอ่านแล้ว สั่นเทื้อม สะเทิ้นไปทั้งตัว
……………………….

“อัษฎางค์ ยมนาค”

“ตอนจ่ายเงินซื้อที่ ตนเองก็เซ็นยอมรับทราบว่า ได้ซื้อที่ดินในเขตป่าสงวน ที่อาจผิดกฎหมายและโดนเพิกถอน
ตอนนี้ เรื่องเพิ่งจะมาแดง กลับโทษว่า เป็นเพราะลูกชายมาเล่นการเมือง ทั้งลูกชายและตนเองเลยถูกกลั่นแกล้ง

อัษฎางค์ ยมนาค จะพามาไล่เรียงว่า มีหลักฐานอ้างอิงอะไรบ้าง

1 เมษายน 2565 กรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ น.ส. 3 ก. ของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ นางสาวชนาพรรณ และ นายธนาธร เนื่องจากพบว่า เป็นที่ป่าไม้ถาวร

ต่อมานางสมพรได้ออกมาตัดพ้อ โดยมีใจความว่า

“ฉันมีที่ดินผืนนี้มา 30 ปี ไม่เคยมีปัญหาอะไร จนกระทั่งลูกชายมาทำงานการเมือง ลูกก็โดนยัดคดีร้ายแรงให้สารพัด
ส่วนตัวฉันเองก็โดนร้องเรียนว่า รุกป่า กินป่า เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคดีใหญ่โต

ฉันยืนยันตรงนี้ว่า ที่ผืนนี้ ถึงจะซื้อมาถูกกฎหมายทุกประการ มีเอกสารสิทธิเรียบร้อย แต่อยู่มาวันหนึ่งรัฐบอกว่าผิด จะเพิกถอน

ฉันไม่มีปัญหา แต่ต้องไปพิสูจน์ถูกผิดกันตามกฎหมาย ถ้าออกมาว่าเป็นป่าจริง ฉันยินดีคืนที่ให้ แต่อย่ามากล่าวหาว่าครอบครัวฉันโกงบ้านโกงเมืองเด็ดขาด”

แต่เมื่อย้อนไปดูบันทึกถ้อยคำตามที่สำนักข่าวอิศรา นำมาเผยแพร่ของ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ วันที่ 19 มิถุนายน 2540 มีเนื้อหาระบุว่า

“ตามที่ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายได้ยื่นขอจดทะเบียนขายที่ดินแปลงเครื่องหมายข้างบนนี้ ข้าพเจ้าได้ตรวจบริเวณที่ดินแปลงนี้จากระวางรูปถ่ายทางอากาศ หมายเลข 4836 // แผ่นที่ 104 ซึ่งในระวางฯ ระบุว่า

ที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ หมายเลข 85 และเจ้าหน้าที่แจ้งให้ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบแล้วว่า หลักฐาน น.ส.3 ก. ฉบับดังกล่าว อาจออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ซึ่งต่อไป ทางราชการอาจดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอน น.ส.3 ก. ได้ ซึ่งทำให้การซื้อขายที่ดินครั้งนี้เป็นโมฆะ
ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่ายทราบและเข้าใจดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าขอยืนยันให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียนขายที่ดินให้ข้าพเจ้าครั้งนี้ได้

หากเกิดการเสียหายใดๆ ขึ้น เกี่ยวกับการนี้ ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด”……..
……………………………..
กัมมุนา วัฎฎตี โลโก กุ๊กๆ!

-เปลว สีเงิน
๘ เมษายน ๒๕๖๕



Written By
More from plew
“มัดรวม” สู่การ “เช็กบิล” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “หมัดจาก”…… ของสว.ที่ทิ่มใส่หน้ารัฐบาลเศรษฐาเมื่อวาน ต้องบอกว่า แซบ ไม่ต้องใส่พริก! การอภิปรายของ “สว.เฉลิมชัย เฟื่องคอน” อดีตผู้ว่าฯ อุตรดิตถ์...
Read More
0 replies on “วันนี้ “ปารีณา” วันหน้า “สมพร” – เปลว สีเงิน”