ผักกาดหอม
วันก่อนโน้น….
ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “คนตั้งคำถามกันมากว่า ทำไมคอร์รัปชันไม่ลดลง!!”
สาเหตุหนึ่งในนั้นรู้มั้ยครับว่าคืออะไร?
คือ…รัฐธรรมนูญปราบโกง กำลังถูกลดทอนคุณค่า และกำลังจะถูกแก้ไขในเร็ววัน
คนที่อยู่ในองค์กรต้านโกงออกปากมาอย่างนี้ ก็แสดงว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ถูกค่อนแคะว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการทรราชสืบทอดอำนาจนั้น สามารถปราบนักการเมืองขี้ฉ้อได้จริง
แต่…แปลกตรงที่ การเมืองที่อ้างตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย บางก็ว่าเป็นนักการเมืองพันธุ์ใหม่ กลับหลับหูหลับตาไม่สนเสียงค้าน
กระเหี้ยนกระหือรือจะฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ได้
วานนี้ (๑๒ กุมภาพันธ์) หัวหน้าแก๊ง สว.พันธุ์ใหม่ “นันทนา นันทวโรภาส” ค้านหัวชนฝากับการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนว่า การแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕๖ ซึ่งนำไปสู่การฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นต้องทำประชามติก่อนตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้หรือไม่
“…การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๒๕๖ และเพิ่มหมวดมาตรา ๑๕/๑ ถูกบรรจุเข้าสู่วาระแล้ว กระบวนการต้องเดินหน้าไปตามขั้นตอน ไม่ควรมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะเท่ากับเป็นการยืดเยื้อเวลาโดยไม่จำเป็น…”
“…เป็นการทำซ้ำในสิ่งที่ศาลเคยมีคำวินิจฉัยไม่รับพิจารณามาแล้ว การนำเรื่องนี้กลับไปให้ศาลตีความอีก เท่ากับเป็นการยื้อเวลาออกไป ทั้งที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ใช้เวลามานานมากแล้ว…”
“…เรื่องนี้เป็นที่จับตาของมวลชน หากการพิจารณาในรัฐสภาถูกขัดขวาง ก็อาจนำไปสู่สถานการณ์ที่บานปลายได้…”
นี่คือการขู่ใช่หรือไม่
ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ในระเบียบวาระการประชุมแล้วอย่าขวาง
เตรียมจะใช้มวลชนกดดันเพื่อให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างนั้นหรือ
เบื้องต้นพรรคการเมืองใหญ่ทั้ง ๒ พรรคคือ พรรคส้ม กับพรรคเพื่อไทย เห็นพ้องว่า ปล่อยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไว้ไม่ได้
ต้องฉีกทิ้ง!
แต่วิธีต่างกันนิดหน่อย
ข้อเสนอพรรคส้มและพรรคเพื่อไทยระบุเหมือนกันคือให้มี ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง
แต่มีข้อแตกต่างที่วิธีการเลือกตั้ง
พรรคประชาชนใช้ระบบผสม แบ่ง ส.ส.ร. ๒๐๐ คน ออกเป็นสองประเภท
ประเภทแรกมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตตามจังหวัด ๑๐๐ คน
ประเภทที่สองมาจากแบบบัญชีรายชื่อใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ๑๐๐ คน
ส่วนพรรคเพื่อไทยให้ ส.ส.ร.ทั้ง ๒๐๐ คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเท่านั้น
อำนาจหน้าที่ของ ส.ส.ร.ก็ยังคงมีความแตกต่างกัน
ร่างฉบับเพื่อไทยระบุ ส.ส.ร.มีอำนาจร่างรัฐธรรมนูญใหม่ได้ แต่ห้ามแก้ไขเนื้อหาในหมวด ๑ บททั่วไป และหมวด ๒ พระมหากษัตริย์
ส่วนร่างฉบับพรรคประชาชนปล่อยฟรี
ทั้ง ๒ ร่างเข้าไปอยู่ในระเบียบวาระของสภาแล้ว
คำถามคือ กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เริ่มต้นขึ้นหรือยัง
ที่ต้องถามเพราะมีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องคำนึงถึง นั่นคือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๔/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๔ วินิจฉัยว่า
“…รัฐสภามีหน้าที่และอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ และเมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง…”
แล้วต้องถามประชาชนตอนไหนว่าอยากได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือเปล่า?
ก่อนที่ สส.จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภา
หรือหลังจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพร้อมที่จะพิจารณาวาระที่ ๑ แล้ว
พูดง่ายๆ คือ เข้าไปอยู่ในกระบวนการของสภาแล้ว
ลองใช้สามัญสำนึกพิจารณาเรื่องนี้ดูครับ
หากจะบอกว่า สส.ยัดร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาไปก่อนแล้วค่อยถามประชาชนทีหลังว่าอยากได้หรือเปล่า ก็ไม่เห็นเป็นไร ซึ่งปัจจุบันมันอยู่ในสภาพนี้
นี่คือการลัดขั้นตอน ไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
เป็นการทำความผิดสำเร็จแล้วใช่หรือไม่
ถ้าผิดแล้วใครผิดบ้าง
ก็บรรดา สส.ที่เข้าชื่อขอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของทั้ง ๒ พรรคการเมืองข้างต้นนี่แหละครับ
หากถูกเชือดยกก๊วน จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้นะครับ เพราะก่อนที่จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภา ก็ยึกยักกันอยู่พักใหญ่
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไม่กล้าบรรจุร่างดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาเพราะเกรงว่า อาจกระทบกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาจึง นัดประชุม และลงมติด้วยเสียงข้างมาก ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย ๒๓๓ เสียง ไม่เห็นด้วย ๑๐๓ เสียง และงดออกเสียง ๑๗๐ เสียง ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้วินิจฉัยอีกครั้ง
๑๗ เมษายน ๒๕๖๗ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
ด้วยมติเอกฉันท์ ๗ ต่อ ๐
ให้เหตุผลว่า การบรรจุวาระการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นหน้าที่และอำนาจของประธานรัฐสภา
กรณีนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา
คำร้องมีสาระสำคัญเป็นเพียงข้อสงสัย และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายเนื้อหาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๔/๒๕๖๔ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว ไม่ใช่กรณีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาที่เกิดขึ้นแล้ว
ก็ไปตีความกันว่ายื่นเข้าสภาฯ ได้ แล้วค่อยถามประชาชนทีหลัง
ชี้โพรงไว้เลยครับ หากจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกครั้ง ต้องยื่นให้ชัดว่าจะถามเรื่องอะไร
ถามไปเลยครับ คำวินิจฉัยที่ว่า “ต้องให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้ลงประชามติเสียก่อนว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” นั้น จะต้องถามก่อนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาหรือไม่
แล้วทำไมศาลถึงใช้คำว่า “เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว คือร่างก่อนเข้าสภา หรือร่างที่ผ่านสภา ๓ วาระก่อนประกาศใช้กันแน่
ลองอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้ละเอียดนะครับ
ทำไมสมัย “ประธานชวน” ไม่บรรจุร่างแก้ไขเข้าสภา
มาสมัย “วันนอร์” กลับบรรจุ
งานนี้ถ้าตาย คือตายยกเข่งนะครับ
