“ประเทศนี้มีแต่กูรู” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน     

ผมนี่…

เป็นคนประเภท “รู้น้อยพลอยรำคาญ-รู้มากแต่ยากนาน”

ฉะนั้น ด้วยความรู้น้อย

เมื่อเห็น “ผู้รู้มาก” ทั้งหลาย ออกมาตำหนิ บ่น ก่นด่า ว่าที่ “นายกฯ อนุทิน” ไปลงนามในปฎิญญาว่าด้วย “เงื่อนไข ๔ ข้อ” ที่เขมรต้องนำไปปฎิบัติให้เห็นผลก่อน แล้วค่อยมาคุยกันเรื่อง “สันติภาพไทย-เขมร”

ตอนนี้ ยังถือว่า “เขมรเป็นภัยต่อความมั่นคงประเทศ” อยู่

ดังนั้น ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่อง “เปิดด่าน” ให้มันเมื่อยตุ้ม!

ถึงขนาดนั้น…..

“ผู้รู้มาก” ก็ยังออกมาตีโพย-โวยวาย ว่าที่ไทยไปลงนามในปฎิญญานั้น “เสียเปรียบ-เสียท่าเขมร”

และที่ตกลงใช้เทคโยโลยี LiDAR  ทำแผนที่ภาพถ่ายในการปักปันเขตแดน แทนใช้แผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐

เพราะ LiDAR สามารถกำหนด “สันปันน้ำ” ได้แม่นยำ-ชัดเจนกว่า ซึ่งเท่ากับว่ายกเลิก “แผนที่ ๑:๒๐๐,๐๐๐” ไปโดยปริยาย นั้น

ก็ว่า ไม่จริง-ไม่ใช่….

ที่นายกฯ ลงนามในปฎิญญาไป ไม่มีอะไรดีซักอย่าง มัน “เข้าทางเขมร” ทั้งหมด!?

แล้วมีการปล่อยข่าวว่า “จะมีการเปิดด่าน “ไทย-เขมร” ตรงจุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน จังหวัดสระแก้ว ในวันที่ ๑ พฤศจิกา.นี้”!

ผมซึ่งเป็นผู้น้อย ฟังเขาแสดงความเปรื่องปราด-ฉลาดเก่งโขกสับ “นายกฯ อนุทิน” ตั้งเช้ายันค่ำ

ด้วยความรู้น้อย ก็เลยรู้สึกรำคาญ!

รำคาญ เพราะสับสนตัวเอง ว่าจะเชื่อรัฐบาล คือที่นายกฯ แถลงดี หรือจะเชื่อท่านผู้รู้มากที่ออกมาวิพากษ์-ลากไส้ดี?

และพลอยฉงน ว่าทำไมนะ…ประเทศไทยนี่….

ต้องให้แต่คนโง่ๆ เท่านั้น มาเป็นรัฐบาล-มาเป็นนายกฯ

ส่วนคนฉลาด กลับให้ไปเป็นแค่ “คอมเมนเตเตอร์” หน้าจอ!?

แล้วเมื่อไหร่หนอ …..

จะให้คนเก่ง-คนฉลาดพวกนี้ ได้เข้าไปใช้ความเป็น “หลวงรอบสารพัดรู้” บริหารบ้านเมืองให้เป็นที่ถูกจริต-ถูกใจตัวเองซักที?

อะไรก็ไม่ว่า การปล่อยข่าวว่า…

๑ พฤศจิกา.จะเปิดด่านไทย-เขมร ตรงจุดผ่านแดนบ้านเขาดินนี่ซี

สร้างความเดือดดาล-พล่านพลุ่ง ให้กับชาวบ้าน ออกมาด่ารัฐบาลกันขรม ด้วยเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง

เดือดร้อนถึง “พลโทวรยส เหลืองสุวรรณ” แม่ทัพภาค ที่ ๑ ต้องออกมายืนยันว่า

ไม่จริ๊ง…ไม่จริง!

ตามเอกสารชี้แจงจากกองทัพภาค ที่ ๑ ว่า……

“จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูล “อ้างทหาร” ได้รับแจ้งให้เตรียม “เปิดด่านชายแดน” ไทย-กัมพูชา

บริเวณ “จุดผ่านถาวรบ้านเขาดิน” ต.คลองหาด  อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ในวัน ๑ พ.ย.๖๘ นี้

กองทัพภาคที่ ๑ ขอเรียนชี้แจงว่า “ไม่มีการสั่งการให้เปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ในความรับผิดชอบของ กกล.บูรพา ในพื้นที่ จ.สระแก้ว แต่อย่างใด”

โดยกองทัพภาคที่ ๑ ยังคงยึดถือปฏิบัติตามนโยบายการ “ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา” ในพื้นที่รับผิดชอบเช่นเดิม”

เรื่อง “การเมืองระหว่างประเทศ” นั้น โดยเฉพาะกับประเทศที่อยู่ติดกัน ก็เหมือนเราซื้อบ้านจัดสรรที่อยู่ติดๆ กันนั่นแหละ

ถ้าได้เพื่อนบ้านที่ดี เท่ากับถูกหวยรางวัลที่ ๑

แต่ถ้าได้เพื่อนบ้านเฮงซวย ก็ต้องท่องคำว่า “เวรกรรมของกูแท้ๆ”!

ก็ต้องทำใจ ฝืนใจ อดทน -กดข่มใจ เพราะยังไงๆ ก็ยกบ้านหนีไปจากกันไม่ได้

ไทยเราก็ประมาณนั้น ถือซะว่า “เวรกรรมตามมาแต่ปางบรรพ์” รู้ทั้งรู้ทุกอย่าง แต่จำต้อง “หวานอม-ขมกลืน”

เว้นแต่ว่า ถ้าเขาป่าเถื่อนมา เราจะลดตัว “ป่าเถื่อน” กลับไปอยู่ในระนาบเดียวกับเขาเท่านั้น

พูดกันตรงๆ ประเทศไทยเรา อยู่ในสถานะหนึ่ง ส่วนเขมร เขาอยู่ในอีกสถานะหนึ่ง

เราไปแลกกับเขา ในความเป็นประเทศไทย บอกได้เลย

“เราได้ไม่เท่าเสีย”!

ฉะนั้น เมื่อแยกกันไม่ได้ มันก็ต้องอยู่แบบผู้ใหญ่ ที่ต้องรู้จักข่มใจ ไม่ใช้ความวู่วามเข้าหักหาญด้วยเหนือกว่า

ใช้การเมือง “ออกหน้า”

การทูต “นำพาที”

การทหาร “นำใน”

แล้วนวยนาดด้วยลีลา “หวานนอก-เผ็ดใน” รักษาบุคลิกให้โลกเข้าใจ ในความเป็นผู้ใหญ่ที่จะไม่ “เตะเด็ก” กลางถนน

ในทางเดียวกัน….

โลกก็จะเข้าใจ เมื่อถึงคราวที่ไทยต้อง “ตบกะโหลก” ว่านั่นคือการ “สั่งสอนเด็ก”!

ฉะนั้น ในองค์ประกอบของความเป็นรัฐบาล ไม่ใช่นายกฯ “คิดคนเดียว-ตัดสินใจคนเดียว-ทำคนเดียว” หรอก

การลงนามปฎิญญาก็ดี การเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช้อารมณ์นำหน้าจนไม่คำนึงถึงเหตุผลในการตกลงใดๆ ในเวทีประชาคมโลกก็ดี

ไอ้ที่เราจะได้เปรียบเขาทุกเรื่องติดตะพือ หรือที่เราจะยอมเสียเปรียบเขาไปทุกเรื่อง อย่างนั้น มันไม่มีหรอก

ทุกการตกลงกันหน้าฉากนั้น รู้มั้ย…..

กว่าจะได้เซ็น ต้องผ่านการ “เคี่ยวกรำ-กลั่นกรอง” จากคณะทำงานที่หามรุ่ง-หามค่ำอยู่หลังฉาก จนเบ้าตาเป็นหมีแพนด้า!

ถ้าเราไม่ “สร้างกรอบ-สร้างเงื่อนไข” เป็นไม้นวม ให้อีกฝ่ายต้องปฎิบัติ เป็นการสร้างความชอบธรรมสำหรับเรา ตอนเขาผิดสัญญา

เอะอะ ผลีผลาม ใช้ไม้แข็ง รบกะแม่งมันเลย นอกจากถูกสังคมโลกติฉินแล้ว…

ถามว่า คนที่ไปรบน่ะ ทหารไปรบ

หรือ นักรบหน้าจอ หรือพวกเทวดาที่ “ข้ารู้-ข้าเก่ง” อยู่คนเดียว ไปรบ?

เมื่อรบ มันมีการสูญเสีย (ชีวิต) ทั้งสองฝ่ายใช่มั้ย?

ฉะนั้น พวก “รักชาต-รู้ดี” ที่เหี้ยนกระหือรือ ลุยแม่งมันเลยลูกเดียวนั้น โปรดใจเย็นๆ

อย่านึกว่าตัวเองเก่ง-ฉลาด และรู้ดีอยู่คนเดียว คนอื่นที่คิดไม่เหมือนตนโง่หมด รวมทั้งรัฐบาลที่ไปเจรจาสันติภาพนั่นด้วย!

เพราะเขารู้ “เขมรเชื่อไม่ได้” ตกลงไป เดี๋ยวมันก็เบี้ยว

ตานี้แหละ ไม่ใช่เบี้ยวไทยประเทศเดียว

หากแต่เบี้ยวประธานาธิบดีทรัมป์ เบี้ยวนายกฯ อันวาร์ ประธานอาเซียน เบี้ยวสมาชิกอาเซียนซัมมิต ที่เป็นสักขีพยาน

แล้วการที่ไทยจะจัดหนัก-จัดเต็มกับ “ประเทศเกเร”

ยังจะมีใครติดใจ-สงสัย กับที่ไทยจะ “เตะสั่งสอนเด็กเกเร” ที่ “ต่อหน้ามะพลับ-ลับหลังตะโก” กับประชาคมโลกล่ะ?!

ไอ้คนที่คิดว่า “ไทยโง่กว่าเขา” กับวิธีที่ใช้การ “เข้าตามตรอก-ออกตามประตู” กับเขมร นั้น

ชะโงกดูเงาตัวเองในแอ่งน้ำรอยตีนควายบ้างก็ดี อาจทำให้คลายจากปัญญาฟุ้งจนคลุ้มคลั่ง และรู้จักกดข่มเพื่อทางยาว ไม่ใช่เอะอะ..เอามัน..เอามัน ท่าเดียว!

เมื่อวาน (๒๗ ต.ค.) นายกฯอนุทิน พูดถึงการลงนามกับเขมรเพิ่มเติม โดยยืนยันว่า

“ไม่มีการเปิดด่าน ยังไม่ถึงจุดนั้น”!

ถ้อยแถลงที่ลงนามกับกัมพูชา เป็นการกำหนดว่า แต่ละประเทศจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง

“ประเทศไทยดีหน่อย เพราะไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิด ดังนั้นการดำเนินการทั้งหลาย จะต้องเริ่มจากทางฝ่ายกัมพูชาก่อน”

เช่น การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน

แต่ในการลงนาม ไม่ได้บอกว่าเราต้องถอน แต่เมื่อเขาแสดงท่าทีที่มีเจตจำนงที่จะถอนอาวุธหนักออกไปอย่างมีนัยสำคัญ เราก็แสดงท่าทีให้เขาเห็นว่า“เราก็พร้อมที่จะถอน”

ขั้นตอนขณะนี้ จะมีการหารือกันระหว่างกองทัพของทั้ง ๒  ประเทศ ผ่านช่องทางทวิภาคี และถอนอาวุธออกจนเป็นที่พอใจของคู่กรณี

อย่างเช่น ประเทศไทยโดยที่คนกลางคือ “คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน” คือตัวแทน “ผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน”

ที่จะมาเป็นตัวแทน เป็นคนที่ยืนยันว่า “ทางคู่กรณีได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้ว”

จากนั้น ไปต่อเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

โดยคนที่จะเก็บกู้ คือฝั่งไทย และมี “คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน” (AOT) เป็นผู้สังเกตการณ์

หลังจากนั้น จะมาพูดคุยเรื่อง “สแกมเมอร์” หาวิธีการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ฝ่ายไทยดำเนินการเต็มที่ ทั้งการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต การสืบหาธุรกรรม เส้นทางการเงิน ดำเนินคดีคนที่เกี่ยวข้อง

และเราก็รอฝั่งกัมพูชาที่จะให้ข้อมูลมาเพิ่มมากขึ้น เพื่อมาสนธิกำลังกันและปราบปราม

สุดท้ายคือ “การบริหารจัดการพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน” ขณะนี้ เราเน้นไปที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว

ส่วนของกัมพูชาที่ล้ำมาฝั่งไทยก็มี ส่วนของฝั่งไทย ที่ล้ำไปฝั่งกัมพูชาก็มีเช่นกัน

ซึ่งหากจะแฟร์ ก็ต้องแฟร์ทั้งสองฝ่าย และถ้าตกลงได้แล้ว มีของเราล้ำเข้าไป เราก็ต้องกลับมา

และรัฐบาลไทยต้องจัดหาที่อยู่ให้กับคนที่ล้ำเข้าไปฝั่งกัมพูชา เช่นเดียวกันกับฝั่งกัมพูชาที่ล้ำเข้ามาในฝั่งไทย

หากทำเช่นนี้ได้ ความเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยจะลดน้อยลง และถึงจะมา “เริ่มฟื้นฟู” เรื่องความสัมพันธ์ทางการทูต

ซึ่งขณะนี้ เราเหลือแค่ “เลขานุการโท” เพราะเราได้เรียกทูตกลับมาแล้ว

“ผมก็ไม่ได้อยากจะค่อยๆ ทำมาก เพราะมันคือโอกาสที่เราเสียไป ถ้าความเป็นภัยไม่มีแล้ว เราก็จะต้องเร่งดำเนินการในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับไปในจุดที่มันควรแก่เหตุ

หากผมเองบอกว่าฟื้นเลย เดี๋ยวจะไม่พอใจกันอีก แต่ยืนยันว่า จะไม่ทำให้เกียรติภูมิของประเทศเสียหายไปอย่างแน่นอน”

และเรื่องของ “การเปิดด่าน”

สำหรับผมเองจะเป็น “เรื่องสุดท้าย” เมื่อสถานการณ์ที่เป็นอันตรายหมดไปแล้ว ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ และกลับมาเปิดด่าน

ซึ่งจะเป็น “จุดสุดท้าย” ของกระบวนการ และหวังว่าความเป็นปกติสุขจะเกิดขึ้น

“ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีการเปิดด่านในวันที่ ๑ พฤศจิกายนนี้

ผมเองไม่ทราบว่าใครไปกำหนดวันนั้น

แต่ทั้งหมดจะช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่ที่ความจริงใจในการเข้ามาเร่งแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศ

หากกัมพูชาดำเนินการ ไทยจะมีการประเมินโดยเร็ว และตอบสนองในแต่ละเรื่อง

โชคดีที่กรณีนี้ ประเทศไทยเราสามารถอยู่ในสถานะ “เป็นผู้กำหนดเงื่อนไข” ได้ เพราะเราเป็นฝ่ายที่ “ถูกรุกราน” เข้ามา

“ด่านยังไม่เปิด เดี๋ยวก็มีคนไปพูดว่าเดี๋ยวก็เปิดด่านอีกแล้ว ไทยมีการยอมนั่น-ยอมนี่ ซึ่งกัมพูชาจะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขอย่างเป็นรูปธรรมก่อน ถึงจะมีการพิจารณา”

หากทางกัมพูชาได้ดำเนินการไปในระดับหนึ่งแล้ว ก็จะทำการคืนตัวผู้ที่เราควบคุมตัวอยู่ ๑๘ คน เร่งส่งคืนให้กับกัมพูชาไป

ส่วนการ “ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต” หรือการ “เปิดด่าน” นั้น ยังอยู่ในลำดับท้าย ๆ

“สิ่งนี้ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อฝ่ายไทยได้ประเมินแล้ว และต้องมีความเชื่อมั่นว่า ความเป็นภัยของประเทศกัมพูชาต่อความมั่นคงของประเทศไทยลดลงไป ในระดับที่ไม่มีความเป็นภัยเกิดขึ้นแล้วจึงจะมาเริ่มฟื้นฟูสิ่งเหล่านั้น”

ครับ…..

น่าจะมีความเข้าใจกันมากขึ้นนะ โลกทุกวันนี้ เป็นโลกของข่าวสาร ใครพอใจปั่นไปทางไหน ก็ปั่นกันไปทางนั้น

ส่วนผู้เสพสื่อจากมือถือ ออนไลน์ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ก็ต้องใช้สติเป็นตะแกรง “ร่อนกากหาแก่น”

ไม่อย่างนั้น “ประสาทแดก” รายวัน กับข่าวปั่นจากสารพัดกูรู!

เปลว สีเงิน

๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
ไหนล่ะ “เกียรติ-ศักดิ์ศรี”? #เปลวสีเงิน
เปลว สีเงิน ต้องบอกกันตรงๆ ว่า…. “ด้านในประเทศ” “รัฐบาลเพื่อไทย” ประชาชน “ไม่มีกิน-ไม่มีใช้” มีแต่หนี้ที่รัฐบาลสร้างให้ “บนความเหลื่อมล้ำ” คนได้แจก “ไม่ต้องใช้หนี้”...
Read More
0 replies on ““ประเทศนี้มีแต่กูรู” #เปลวสีเงิน”