ผักกาดหอม
ที่จั่วหัวไว้ เขียนไม่ผิดครับ
เวทีแถลงนโยบายรัฐบาลอนุทิน วานนี้ (๒๙ กันยายน) อภิปรายกันไปมา กลายเป็นเวทีซักฟอกฝ่ายค้าน คือ พรรคเพื่อไทยซะงั้น
แถม สส.พรรคเพื่อไทยบางคน เผลอถล่มรัฐบาลแพทองธารแบบตั้งใจ
คือ…ตั้งใจจะด่าพรรคภูมิใจไทย แต่มันไปลงที่พรรคเพื่อไทยทุกที
“เขากระโดง” กลายเป็นประเด็นหลักในการอภิปรายของพรรคเพื่อไทย พูดกันไปพูดกันมา กลายเป็นไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน
เพราะการเมืองมันเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน เรื่องที่ดินจึงกลายเป็นเรื่องที่สับสนวุ่นวาย
ถ้าจะให้จบเร็วๆ และง่ายๆ การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ต้องฟ้องร้องขับไล่ที่ดินที่ถูกบุกรุกทั้งหมด
ถ้าการรถไฟฯ ไม่ฟ้องใครก็ทำอะไรไม่ได้
รัฐบาลระบอบทักษิณตั้งแต่ เศรษฐา-แพทองธาร นั้น พรรคเพื่อไทยคุมกระทรวงคมนาคม ทำไมไม่สั่งให้การรถไฟฯ ฟ้องตั้งแต่แรก
แต่กลับไปไล่ทุบกรมที่ดิน สังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่พรรคภูมิใจไทยดูแลอยู่
๒ เดือนที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” ไปคุมกระทรวงมหาดไทย ไล่บี้กรมที่ดิน ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอ้างผลสอบของกรมที่ดินสั่งเพิกถอนที่ดินเขากระโดง ๕ พันไร่ทันที
ข้าราชการงง! ใครจะเพิกถอน เพิกถอนอย่างไร ตรงไหน
เพราะกลับกลายเป็นว่าผลสอบกรมที่ดิน ไม่เคยชงให้เพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดง
จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการเพิกถอน
เวทีแถลงนโยบายยังเป็นศึกห้าเส้า ฟัดกันเป็นงูกินหาง ระหว่าง ภูมิใจไทย เพื่อไทย พรรคประชาชน สว.สีน้ำเงิน และ สว.พันธุ์ใหม่
การแถลงนโยบายครั้งนี้จึงครึ่งๆ กลางๆ ระหว่าง ซักฟอก ตรวจสอบ และล้างแค้น ขุดความหลัง
แต่การอภิปรายที่ชอบที่สุด คือ การอภิปรายของ “หัวหน้าเท้ง” ครับ
“…ขอให้ทุกคนระลึกถึงวันที่ท่านมีสิทธิ์เข้าคูหาในการเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต ซึ่งสิ่งที่ผมจำความได้คือ ๑๙ ปี นับตั้งแต่ปฏิวัติปี ๔๙ ที่ทำให้ชีวิตของผมต้องผ่านการปฏิวัติรัฐประหารเพิ่มขึ้นอีก ๒ ครั้ง
นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งไปถึง ๕ คน
พรรคการเมืองที่สำคัญถูกยุบไปอีก ๗ พรรค
การเลือกตั้งก็ต้องถูกล้มไป ๒ ครั้ง
และในช่วงระยะเวลา ๒ ปีที่ผ่านมา พวกเราต้องเปลี่ยนนายกฯ ๓ คน และคนไทยทั่วประเทศผู้มีสิทธิเลือกตั้งในยุคนี้ ไม่เคยมีคนรุ่นไหนที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งแล้วประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหาร
และไม่เคยมีคนไทยสักรุ่นที่เกิดและเติบโตในประเทศไทยที่อยู่ในการเมืองประชาธิปไตยเต็มใบที่มีเสถียรภาพ
และประเทศไทยที่ผ่านมาไม่เคยมีที่ดอกผลของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ที่เราเติบโตแบบก้าวกระโดดเกิดจากแรงถีบและแรงส่งของรัฐบาลและการเมืองภายในประเทศที่มีประชาธิปไตย และลมที่กำลังเปลี่ยนทิศในการเมืองโลกวันนี้ ไม่ได้กำลังเข้าข้างประเทศไทยอีกต่อไป
การเมืองแบบที่เป็นอยู่ ที่เราต้องมาแถลงนโยบาย ๓ ครั้ง ในรอบ ๒ ปี เนื่องจากกลไกของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระถูกนำมาใช้ทำลายล้างกันทางการเมือง มากกว่าการจับคนโกงลงโทษคนผิด
ปัญหาความทุจริตในประเทศไม่เคยเบาบางลง มีแต่หนักขึ้นทุกวัน
ตราบใดที่เรายังอยู่ในระบบการเมืองแบบนี้ มีใครในประเทศนี้ที่จะต้องเจ็บปวดบ้าง ทั้งพี่น้องชาวเกษตรกรหรือคนไทยทุกคน
รวมถึงปัญหาน้ำท่วม ไฟป่า ก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลยุคใด ที่เข้ามาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ
และประชาชนต่างจังหวัด ที่เคยอยู่กับคำขวัญที่ว่า น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ เป็นคำขวัญที่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑ ปี ๒๕๐๔
ลองหันไปดูหลายพื้นที่ตอนนี้ น้ำไม่ไหล ไฟไม่สว่าง ทางไม่สะดวก จะไปโรงพยาบาลก็ต้องตื่นตี ๕ ไปต่อคิว
และระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวให้เขาแข่งขันกับระดับโลกได้ หลายคนต้องหลุดจากระบบการศึกษาไปทั้งที่พวกเขาคืออนาคตของประเทศนี้
ถึงเวลาที่ต้องยกเครื่องให้เดินหน้าอย่างเต็มกำลัง ถ้าพวกเรามีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และต้องให้ความสำคัญต่อการยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด
เพราะเราต้องการรัฐบาลที่มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพและมีความชอบธรรมยึดโยงกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน
บรรดาคณะรัฐมนตรี ถูกแต่งตั้งมาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้มาจากเพียงแค่การจัดสรรโควตา
หรือการต่อรองแบ่งผลประโยชน์กันทางการเมือง
เราต้องการรัฐบาลที่มีความชอบธรรมสะท้อนเจตจำนงของประชาชน
กล้าที่จะปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อกำหนด อนาคตของประเทศ
วางยุทธศาสตร์ชาติที่ปรับเปลี่ยนได้ตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้ติดล็อกกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นคนเขียนมา…”
ชอบจริงๆ ครับ!
ซักฟอก คสช.ซะงั้น
ปัญหาใหญ่ของการเมืองไทยวันนี้คือ นักการเมืองมักแอบหลังประชาชน เพื่อผลักดันตัณหาทางการเมืองของตัวเอง และบอกว่านั่นคือสิ่งที่ประชาชนต้องการ
เหมือน “หัวหน้าเท้ง” ประกาศนโยบายหากตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี
จะไม่เอาทุกอย่างที่เป็น คสช. ที่พรรคภูมิใจไทยมีส่วนร่วมในรัฐบาลประยุทธ์
วิธีแก้ปัญหาของ “หัวหน้าเท้ง” คือ ฉีกรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ ทิ้ง เขียนขึ้นมาใหม่ด้วยเนื้อหาที่พรรคส้มต้องการ ทั้งๆ ที่บอกว่า ส.ส.ร.จะเป็นคนยกร่าง
การเมืองภายใต้พรรคส้ม จะไม่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ไม่มียุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
คงจะเปลี่ยนเป็นยุทธศาสตร์หาเช้ากินค่ำ
พรรคส้มไม่เคยมียุทธศาสตร์ปราบคอร์รัปชัน
มีแต่ปราบศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ เพราะเชื่อว่าเป็นองค์กรทำลายล้างทางการเมือง
ติดหล่มรัฐประหาร เชื่อว่าฝ่ายอนุรักษนิยมต้องการรักษาอำนาจผ่านการรัฐประหาร
ตั้งโจทย์ผิด คำตอบเข้ารกเข้าพงหมด
รัฐประหารรอบ ๒๐ ปีที่ผ่าน สาเหตุหลักเพราะการเมืองคอร์รัปชัน สร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชน
พ.ศ.นี้เป็นเรื่องยากที่ทหารจะทำรัฐประหาร หากนักการเมืองปฏิรูปตัวเอง จนปลอดจากการคอร์รัปชัน
แต่เรื่องจริงยังโกงกันต่อเนื่อง พรรคส้มเองก็มองเป็นปัญหารอง
เวทีแถลงนโยบายของรัฐบาล ๔ เดือน จึงเป็นเวทีเตรียมเลือกตั้ง
ปากใครยาวสาวได้สาวเอา.
