ผักกาดหอม
เลือก สว.ครั้งนี้คนเดือดร้อนที่สุด ไม่ใช่คนที่สอบตก
แต่เป็น “นักโทษชายทักษิณ”
ไม่ใช่อะไรๆ ก็ทักษิณครับ เพราะมันมีอะไรมากกว่าที่เห็น
ทุกอย่างมีเหตุมีผล
ดีลลับมีจริงครับ!
แต่มันตรงข้ามกับที่เข้าใจกันมาตลอด
หลายต่อหลายคน เชื่อว่าที่ผ่านมา “นักโทษชายทักษิณ” แหกดีล ออกมาเดินเพ่นพ่าน ไม่ยอมอยู่บ้านเลี้ยงหลาน
ด่าคนโน้นที วิจารณ์คนนี้ที สร้างแต่ความขัดแย้ง
แถมยังสร้างความลำบากใจให้รัฐบาลอีกต่างหาก
จะเชื่อหรือไม่หากจะบอกว่า “นักโทษชายทักษิณ” อยู่ในระหว่างปฏิบัติการทำดีลลับให้กลายเป็นจริง
ที่จริงไม่มีอะไรซับซ้อน แต่หลายๆ คนลืมคิดในบางมุมไป อาจเพราะเขาเหล่านั้นมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง จึงมองไม่ออกว่าคนอย่าง “นักโทษชายทักษิณ” กำลังทำอะไรอยู่
ดูกรณีเลือก สว.เป็นตัวอย่าง
วานนี้ (๒๘ มิถุนายน) “นักโทษชายทักษิณ” พูดเรื่อง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น้องเขยสอบตกแบบหักปากกาเซียน
“…ตรงนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
สำคัญที่ว่ามันสอนให้รู้ว่าการปฏิวัติทุกครั้ง เกิดจากการไม่ไว้ใจประชาชน
คือเมื่อประชาชนเลือกรัฐบาลมาแล้วไม่ไว้ใจ ก็เกิดการปฏิวัติ เมื่อเกิดการปฏิวัติก็เกิดกติกาที่ส่วนกลางพยายามจะควบคุมให้ประชาชนทำโน่นทำนี่ตามที่ต้องการ
สุดท้ายก็กลับไปที่ว่าวันนี้ต้องไว้ใจประชาชน ต้องเชื่อใจประชาชน ว่าเขาจะเลือกรัฐบาล เลือกกติกา เลือกคนมากำหนดกติกาของเขาได้
วันนี้กติกาที่เกิดขึ้นรูปแบบเป็นไปตามกติกาที่เกิดขึ้นหลังคณะปฏิวัติทำ…”
“…วิธีการที่ประชาชนเป็นคนตัดสินใจชีวิตของเขาเอง หรือตัดสินใจเลือกคนที่จะมาทำงานให้เขาจะดีที่สุด แต่หากส่วนกลางมากำหนดว่ากติกาเป็นแบบนี้ ผลสุดท้ายก็ต้องมีคนไปทำหน้าที่เลือกแทนประชาชน ซึ่งการเลือกแทนประชาชน สว.ชุดปัจจุบันก็มีคนเลือกแทนประชาชน สว.ชุดนี้ก็มีการเลือกแทนประชาชน คล้ายๆ แบบนี้ ฉะนั้นวันนี้ขอให้กลับไปที่เบสิกพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มันต้องไว้ใจประชาชน อย่าไปดูถูกประชาชน เขาคิดของเขาเองได้ เพราะการตัดสินใจของประชากรหมู่มากจะถูกต้องที่สุด…”
จะเห็นว่า “นักโทษชายทักษิณ” โจมตีคณะรัฐประหารไม่หยุดหย่อน แทนที่จะร่วมมือกับอนุรักษนิยมสู้กับพรรคก้าวไกล
นี่ไม่ใช่แหกดีล!
แต่เป็นปฏิบัติการเพื่อให้ดีลเป็นจริงได้ต่างหาก
การอยู่บ้านเลี้ยงหลานไม่สามารถทำให้ “นักโทษชายทักษิณ” รักษาดีลไว้ได้
แต่การสร้างบารมีทางการเมืองต่างหาก คือหนทางไปสู่ดีล!
ก็อย่าได้แปลกใจที่ “นักโทษชายทักษิณ” ออกมาเล่นการเมืองเต็มพิกัด
เล่นตั้งแต่สนามใหญ่ ยันสนามเล็ก
ตั้งแต่ระดับชาติ ยัน อบจ., อบต.
คำถามจากนักข่าวที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันคือหัวใจของดีลคือคำถามที่ว่า การพ่ายแพ้ของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ “หมดมนตร์ขลังไปแล้ว” ใช่หรือไม่
คำตอบจาก “นักโทษชายทักษิณ” คือ…
“มนตร์ขลังของผมไม่มีเลย วันนี้อายุ ๗๕ ปี ก็คนแก่คนหนึ่ง ไม่มีมนตร์ขลังอะไร”
มนตร์ขลัง บารมีทางการเมือง มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับ “นักโทษชายทักษิณ” ณ เวลานี้ เพราะหากไม่มีก็เท่ากับ “ดีลลม” ข้อตกลงต่างๆ ไม่ประสบความสำเร็จ
การกลับมาในรอบ ๑๗ ปี เพื่อสร้างบารมีทางการเมืองอีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่าย
ยิ่งดีลนั้นผูกมัดว่าต้องทำให้สำเร็จ ก็ยิ่งยาก
ทางเลือกของ “นักโทษชายทักษิณ” คือฟื้นความเป็นทักษิณก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ขึ้นมาให้ได้
สถานการณ์ปัจจุบันไม่ง่ายครับ
ผูกกับฝ่ายอนุรักษ์ไม่ได้ เพราะฐานคะแนนจะถูกแบ่งไปให้พรรคสีส้ม
ไปญาติดีกับพรรคสีส้มก็ไม่ได้ เพราะฝ่ายอนุรักษนิยมจับจ้องอยู่
“นักโทษชายทักษิณ” จึงต้องไปให้สุดด้วยตัวเองอย่างที่เห็นกันอยู่
เพียงแต่…ความพ่ายแพ้ของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” มันทำให้สะดุด
มันคือสัญญาณเตือนว่า อาจล้มเหลว
และมีคนพร้อมที่จะรับดีลไปทำแทน!
หากสังเกตดีๆ ก็พอจะเห็นหน้าเห็นตากันบ้างแล้ว
แต่ก็ยังมีโชคอยู่บ้างที่ สว.สีส้ม ไม่ได้ตบเท้าเข้าสภาอย่างที่คาดหมายเอาไว้
ไม่เช่นนั้นงานจะยากกว่านี้
“นักโทษชายทักษิณ” พูดถึง “ส่วนกลาง”
“ส่วนกลาง” คือใคร ทำไมไม่บอกไปตรงๆ ว่าคณะรัฐประหาร
หรือ “ส่วนกลาง” ไม่ใช่ คณะรัฐประหาร
หรือ “นักโทษชายทักษิณ” กำลังจะบอกว่าที่พลาดเรื่องเลือก สว. ไม่ใช่เพราะตนเอง แต่เพราะ “ส่วนกลาง”
กระนั้นก็ตาม “นักโทษชายทักษิณ” ต้องคิดหนัก เพราะที่เชื่อว่ายังสามารถสถาปนาตัวเองเป็นศูนย์กลางของบริวารทั้งในอดีตและปัจจุบันได้นั้น มันไม่ได้เป็นไปตามที่คิด
จะมีดีลซ้อนดีลหรือไม่ ไม่ทราบ
แต่มีคนที่เข้าใจเกมมากกว่าปรากฏตัวแล้ว
ฉะนั้นคู่ต่อสู้ของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งถัดไป อาจไม่ใช่เพื่อไทย
แต่เป็นภูมิใจไทย
คณิตศาสตร์การเมืองสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้
การเลือกตั้งปี ๒๕๕๔ พรรคเพื่อไทยได้ สส. ๒๓๓ ที่นั่ง
เลือกตั้งปี ๒๕๖๒ ได้ สส. ๑๓๖ ที่นั่ง ดูเหมือนน้อย แต่หากใช้ระบบเลือกตั้งบัตร ๒ ใบ ไม่ถูกตอนกำเนิด สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทยจะได้ สส.เกิน ๑๕๐ ที่นั่ง
ล่าสุดเลือกตั้งปี ๒๕๖๖ กลับมาใช้ระบบบัตร ๒ ใบ กลับกลายเป็นว่า ได้ สส.เพียง ๑๔๑ คนเท่านั้น
ขณะที่การเลือกตั้งปี ๒๕๕๔ พรรคภูมิใจไทยได้ สส.แค่ ๓๔ คนเท่านั้น
เลือกตั้งปี ๒๕๖๒ ได้ สส.เพิ่มมาเป็น ๕๑ คน
และเลือกตั้งปี ๒๕๕๖ ท่ามกลางกระแสสีส้ม แต่พรรคภูมิใจไทยกลับได้ สส.เพิ่มขึ้นเป็น ๗๑ ที่นั่ง
สวนทางกับพรรคการเมืองอื่น ที่ไม่ใช่พรรคสีส้มอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” หัวขบวนของระบอบทักษิณสอบตก แต่ สว.สีน้ำเงินตบเท้าเข้าสภาฯ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เป็นการตีโจทย์เลือก สว.แตก!
รู้ว่าเลือกระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ต้องทำอย่างไร
มาถึงส่วนที่ยากกว่าคือระดับประเทศ ต้องทำอย่างไร
การฮั้วมีแน่นอน
แต่ที่ตัดสินคือ ฮั้วเหนือฮั้ว!
ไม่มีเรื่องทรยศ หักหลัง มีแต่เรื่อง ผลประโยชน์
เพราะการเมืองสะอาดไม่มีในโลก