ผักกาดหอม
ไม่มีอะไรจะฉิบหายไปมากกว่านี้อีกแล้วครับ
นักการเมืองรู้แค่ว่าตัวเองมีอำนาจ แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้อำนาจอย่างไร เพื่อใคร
ได้จบเห่กันแน่ๆ
“หมอมิ้ง-พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่คนโง่ แต่ทำไมถึงพูดจาราวกับคนไม่มีความรู้
วานซืน “หมอมิ้ง” ไปชี้แจงในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เพื่อพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
“…เศรษฐกิจขณะนี้อยู่ในภาวะวิกฤตอย่างต่อเนื่องเหมือนกับกบที่ถูกต้ม หมายความว่า จะค่อยๆ ซึมยาวจนไม่รู้สึก แต่พอเมื่อรู้สึกตัวแล้วก็จะมีปัญหา
สถานการณ์ตอนนี้ขอแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง ได้แก่
๑.ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ก่อนมาถึงเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด จะพบว่าตัวเลขการส่งออกของประเทศเริ่มมีปัญหาแล้ว
๒.ช่วงโควิดโดยเศรษฐกิจของไทยตกลึกที่สุดในภูมิภาคนี้และเติบโตช้าที่สุด
และ ๓.ปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นชัดจากอัตราเงินเฟ้อที่ตกลง แต่ดอกเบี้ยยังสูงขึ้น ประเทศไทยโตแบบไม่เท่ากัน จำนวนหนี้ครัวเรือนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในรอบ ๑๐ ปี จาก ๗๐% ต่อจีดีพีเป็น ๙๑.๖ % ต่อจีดีพี แสดงว่าคนจนกำลังยากจนลงเรื่อยๆ
เวลาเอาตัวเลขภาพรวมอาจจะดูไม่ชัด แต่คนที่เดือดร้อน ถ้าลองถามประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศแล้วเดือดร้อนแล้วเขาถือว่าวิกฤต
เพราะฉะนั้นอัตราการเกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงขอตอบว่าภาวะของประเทศอยู่ในวิกฤตซึมยาวจำเป็นต้องมีมาตรการในการแก้ไข…”
ลากไปถึงปี ๒๕๕๐
แค่นี้ก็เห็นลิ้นไก่แล้วครับ
ไม่ทราบว่านิยามคำว่า วิกฤตของ “หมอมิ้ง” คืออะไร แต่นี่เป็นการแก้ตัวให้นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหัวละ ๑ หมื่น ว่าไม่ใช่นโยบายใช้หาเสียงอย่างเดียว แต่เอามาแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจริงๆ
คิดว่าจะมีคนเชื่อหรือครับ!
หรือหากขณะนี้เศรษฐกิจประเทศอยู่ในภาวะต้มกบจริงๆ รัฐบาลทำอะไรอยู่ ทำไมไม่รีบออกพระราชกำหนดกู้เงิน ๕ แสนล้านบาทมาแจกประชาชนโดยด่วน
มันวิกฤตไม่ใช่หรือ
ทำไมต้องรอถึงเดือนพฤษภาคม
วิกฤต คือร้ายแรง ไม่สามารถรอได้อีกแล้ว ต้องแก้ปัญหาในทันที
นี่กฤษฎีกาก็ให้คำตอบมาแล้ว รัฐบาลยังไม่เริ่มขยับทำอะไรเลย
อย่าสักแต่อ้างวิกฤตเพื่อให้นโยบายผลาญเงินแผ่นดินประสบความสำเร็จ
ถามคนในรัฐบาล ขณะนี้มีนโยบายอะไรที่ต้องออกมาในวันสองวัน หรือสัปดาห์หน้าเป็นอย่างต่ำเพื่อรับมือวิกฤตเศรษฐกิจบ้าง
ถ้าไม่มี ถือว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
นักข่าวถามนายกฯ เรื่อง การประชุมของคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ต ชุดใหญ่ ว่ามีเมื่อไหร่ ได้รับคำตอบแทบหงายหลังทั้งยืน
“ยังไม่ทราบต้องถาม รัฐมนตรีช่วยคลังก่อน”
ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงอยู่ในขั้นวิกฤตเป็นตายเท่ากัน ไม่ต้องเข้าไอซียู อีกครึ่งปีค่อยไปหาหมอแบบนี้ได้หรือ?
ฉะนั้นรัฐบาลอย่ามักง่ายอ้างว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อเอาตัวรอดจากการที่ไปหาเสียงเอาไว้
ที่จริงมันฉิบหายตั้งแต่รัฐบาลบอกประชาชนว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังวิกฤต แต่รัฐบาลไม่มีมาตรการรับมือแบบฉับพลันแล้ว
ก็ลองเทียบกับวิฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ และวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ เมื่อ ๓-๔ ปีที่แล้วดูครับ
แต่ถ้าบอกว่านี่คือวิกฤตศรัทธาที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล เข้าข่าย ๑๐๐% ครับ
บริหารประเทศมาแค่ไม่กี่เดือน ความน่าเชื่อถือหดหายไปอย่างรวดเร็ว
เรื่อง “นักโทษชายทักษิณ” นี่ก็เรื่องหนึ่ง
หลักนิติธรรมถูกทำลายไปอย่างย่อยยับ
สมัยพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน โหยหาเหลือเกิน หลักนิติธรรม โจมตียุติธรรมสองมาตรฐาน มาวันนี้คิดใหญ่ทำเป็นเพื่อไทยล้วนๆ
ครับ…วานนี้ (๑๒ มกราคม) “ชัยชนะ เดชเดโช” สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พาคณะไปเยี่ยมโรงพยาบาลตำรวจ
มีสะดุ้ง! อยู่บ้างเหมือนกันตรงที่ “ชัยชนะ” บอกว่า “ทักษิณ ไม่ได้ผิดอะไร”
เอาเถอะครับไหนๆ อุตส่าห์บุกขึ้นไปชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจได้ แม้จะไม่ได้พบตัว “นักโทษชายทักษิณ” ก็ถือว่าคณะกรรมาธิการชุดนี้ไปได้ไกลที่สุดแล้ว
แต่มันก็เป็นดาบสองคม เพราะหากมอง “ชัยชนะ” ออกมาอธิบายแทนกรมราชทัณฑ์ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือหลงเหลืออยู่แล้ว ก็มองได้
เพราะสิ่งที่ “ชัยชนะ” อธิบายถือว่าละเอียดยิบ เป็นบวกกับกรมราชทัณฑ์พอสมควร
“…เราขึ้นไปที่ชั้น ๑๔ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน และตำรวจสันติบาล รวม ๘ นาย เป็นตำรวจท้องที่ ๓ นาย สันติบาล ๓ นาย เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ๒ นาย มีการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยการถ่ายภาพส่งทางไลน์ทุก ๒ ชั่วโมง พบว่าห้องผู้ต้องขังอยู่ไม่ล็อก ผู้คุมสามารถเดินเข้าได้ทุกเวลา…”
เท่ากับเป็นการยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
ขาดอย่างเดียวคือ “ชัยชนะ” ตอบไม่ได้ว่า “นักโทษชายทักษิณ” อยู่ชั้น ๑๔ หรือเปล่า
แต่ก็เพียงพอสำหรับกรมราชทัณฑ์
มาถึงตัว “นักโทษชายทักษิณ” ก็สรุปได้ว่าต้องเดากันต่อไป ว่าป่วยเป็นอะไร ถึงได้โคม่า หรืออยู่ชั้น ๑๔ จริงหรือเปล่า
ถ้ายังตัดสินใจปิดบังอำพรางกันแบบนี้ ควรจะสงสารลูกสาวตัวเองบ้าง
“อุ๊งอิ๊ง” เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
จ่อจะเป็นนายกรัฐมนตรีในอีกไม่ช้าไม่นาน
พ่อเปิดหัวมาแบบนี้ลูกสาวจะบรรลัยเอา
“อุ๊งอิ๊ง” ขายความเป็นคนรุ่นใหม่
การเมืองยุคใหม่ต้องโปร่งใส
แต่ขณะนี้ “นักโทษชายทักษิณ” กำลังทำทุกอย่างตรงกันข้าม เหมือนปล่อย “อุ๊งอิ๊ง” เดินบนถนนการเมืองตามยถากรรม
ยังไม่สายครับ ป่วยจริง ก็เปิดออกมา ไม่มีอะไรเสียหาย มีแต่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ
อย่าให้ “อุ๊งอิ๊ง” ต้องประสบชะตากรรม พ่อแม่รังแกฉัน