ผักกาดหอม
อย่ากะพริบตา
การเมืองบางทีเปลี่ยนแค่ชั่วข้ามคืน
นึกถึงสมัยนายหัวชวน หลีกภัย ยุบสภาเมื่อปี ๒๕๓๘ เหตุเพราะ ส.ป.ก.๔-๐๑ หลังพรรคพลังธรรมซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมีมติงดออกเสียง ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
สุดท้ายต้องขอถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล
นำไปสู่การยุบสภา
ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัดว่า รัฐบาลเพื่อไทยกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะไปต่อได้แค่ไหน
เช่นเดียวกัน ไม่อาจยืนยันได้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะประสบความสำเร็จกับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต จนได้คะแนนเสียงมาเป็นกอบเป็นกำ
เพราะมีปัจจัยมากมาย
หนึ่งในนั้นคือพรรคร่วมรัฐบาล
มาสำรวจท่าทีพรรคร่วมรัฐบาล กับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หัวละหมื่นล้านบาท ของพรรคเพื่อไทย ที่กำลังจะใช้วิธีออกเป็นพระราชบัญญัติกู้เงินกันหน่อยครับ
เพราะหลายพรรคยังพูดไม่เต็มปาก ว่าจะสนับสนุนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ยังไม่มีใครร่วมหัวจมท้าย
แต่ก็มีวิธีปฏิเสธที่นุ่มนวลแตกต่างกันออกไป
พรรคพลังประชารัฐ จากที่เคยเล่นบทพระเอก วันนี้เป็นพระรอง ดูเจียมเนื้อเจียมตัว
ถ้านับเป็นเบอร์หนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งนั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี คงหนีไม่พ้น “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ”
แต่การนั่งควบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช่ว่าจะตัดสินใจอะไรแทนพรรคได้ทั้งหมด
โดยเฉพาะท่าทีต่อนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย
ฉะนั้นคำตอบจาก “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” จึงสั้นๆ ได้ใจความชัดเจน
“ยังไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่หัวหน้าพรรค”
ชัดมาก!
คงต้องรอว่า “ลุงป้อม” จะโผล่หน้ามาเป็นข่าวเมื่อไหร่
แต่ทำนายคำตอบล่วงหน้า ก็จะยิ่งชัดขึ้น
ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่ทราบ!
ไม่ได้กวน แต่นี่คือความชัดเจนอย่างที่สุดจากพรรคพลังประชารัฐ
หันไปทางพรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” ชัดเจนมาสองสามวันแล้ว
“…เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หากทุกอย่างมีความถูกต้องตามกฎหมาย เราก็ต้องสนับสนุนนโยบายซึ่งกันและกัน เพราะมิเช่นนั้นนโยบายจะไม่สามารถออกได้…”
“…ทุกพรรคการเมืองที่เข้ามามีนโยบายอะไร เขาก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่ต้องทำให้นโยบายเกิดขึ้น หากจะไปไม่ได้ก็มีอยู่อย่างเดียวคือผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ และขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ หากพ้นเงื่อนไขเหล่านี้ไป คนที่ผลักดันนโยบายต้องพยายามทำให้ได้…”
ก็ยังเปิดรูให้ตัวเองได้หายใจ
“หากถูกต้องตามกฎหมาย” ประโยคนี้ไม่มีใครในพรรคเพื่อไทยใช้แม้แต่คนเดียว เพราะต่างมั่นใจว่า การออกพระราชบัญญัติกู้เงินมาเพื่อแจกประชาชนนั้น ถูกต้องทุกประการ
ไม่ติดขัดในข้อกฎหมายแม้มาตราเดียว
นี่จึงยังเป็นมุมมองที่แตกต่างกันของพรรคร่วมรัฐบาล
ในมุมกฎหมาย หัวหน้าทีมพรรครวมไทยสร้างชาติ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ดูจะระวังตัวมากทีเดียว
“…ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลต้องทำตามนโยบายรัฐบาล แต่ต้องดูแลไม่ให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบที่สังคมเป็นห่วง ซึ่งเชื่อว่านายกฯ เองก็ดูเรื่องเหล่านี้อยู่…”
“…จะถูกต้องหรือไม่ต้องดูกฎหมายอื่นเกี่ยวข้องด้วย เช่น เรื่องวินัยการเงินการคลัง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูอยู่ ซึ่งการจะออกกฎหมายอะไร คณะกรรมการกฤษฎีกาจะดูให้รอบคอบ…”
ก็เป็นอันชัดเจน พรรคร่วมรัฐบาล ๓ พรรค คือ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ ยังสงวนท่าทีอยู่พอสมควร
เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจากหลายๆ ฝ่ายนั้น ส่วนใหญ่ไม่เป็นบวกสำหรับรัฐบาล
แต่ยังไม่ถึงขั้นถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพราะเงื่อนไขไม่สุกงอมพอ
คงต้องรอดูว่าหากคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้ว่า การออกเป็นพระราชบัญญัติขัดกฎหมาย แต่รัฐบาลยังฝืนเดินหน้าต่อ ก็อาจได้เห็นสัญญาณบางอย่างจากพรรคร่วมรัฐบาล
หากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านด่านสภาไปได้ แต่ไปจอดที่องค์กรอิสระ จะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นมาทันที เพราะคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งหมด
พรรคร่วมรัฐบาลอาจไหวตัวก่อน ขอถอนตัว เพราะอย่างไรเสียรัฐบาลก็อยู่ลำบาก
นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตจึงไม่ต่างจากระเบิดเวลา
ที่รอเวลาระเบิดตามเวลาที่ตั้งไว้
แต่สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยอาจทิ้งนโยบายนี้ในชั้นกฤษฎีกา เพราะมองแล้วไม่คุ้มที่จะเสี่ยงให้กระทบกับเสถียรภาพของรัฐบาล
จบโดยอ้าง กฤษฎีกา แม้จะไม่สามารถอ้างกับมวลชนของตัวเองได้เต็มที่นัก แต่ก็ยังดีกว่าจบโดยองค์กรอิสระ ที่อาจมีผลพวงจากบทลงโทษตามมา
ส่วนฝ่ายแค้น มีการขยับไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ อาจอยู่ในระหว่างจัดลำดับจ่าฝูงอยู่ก็เป็นได้
วันก่อน “ชัยธวัช ตุลาธน” บอกว่า ไม่ขวางนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลเพื่อไทย
ย้ำกันราวรอร่วมรัฐบาลว่า เป็นความกังวลของพรรคก้าวไกลเหมือนกันว่าร่างกฎหมายนี้จะถูกล้มโดยขั้นตอนของกฤษฎีกา หากรัฐบาลจะผลักดันนโยบายนี้ต่อ ต้องคิดแผนสำรองไว้
วานนี้ (๑๖ พฤศจิกายน) ถูกแย่งซีนเสียแล้ว
ก็ต้องยกนิ้วให้ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ออกตัวล้อฟรี แถลงจุดยืนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินมหาศาลมากระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้
“…งบประมาณประจำปีที่มีอยู่ หากจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพก็เพียงพอที่จะทำได้ ที่สำคัญที่สุด ผมมองว่าปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องการบริโภคน้อยเกินไป จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการกระตุ้นการบริโภคของประชาชนผ่านการให้เงิน
การที่เศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าเพื่อนบ้านมานับทศวรรษ ไม่ได้เป็นเพราะเราบริโภคน้อย แต่เป็นเพราะเราขาดศักยภาพในการแข่งขัน…”
ถูกครับ…ศักยภาพในการแข่งขันยังไม่ดีพอ
ทั้ง FTA, CPTPP เราเปอร์เซ็นต์น้อยกว่าเวียดนามเยอะครับ และพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล ก็เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายที่คัดค้าน
ข้อหา อุ้มนายทุน
ฉะนั้นใครที่ชอบเอาเวียดนามมาเปรียบกับไทย ต้องเข้าใจเงื่อนไขนี้ด้วย โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล เมื่อเข้าใจแล้วต้องมีข้อเสนอแนะด้วยว่าต้องทำอย่างไร
ไม่ใช่ขวางเอาหล่อไปทุกเรื่อง