ผักกาดหอม
ระหว่างรอทูลเกล้าฯ ถวาย และรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี มีประเด็นจุกจิก โผล่มาให้เห็นเป็นรายวัน
บางประเด็น ไม่เล็กเลย แต่ดูเงียบๆ
บางประเด็น ดูเหมือนใหญ่โต แต่ก็ไม่มีสาระสำคัญอะไร ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ เช่นเรื่องการลาออกจากสส.
มีเรื่องใหญ่ แต่ถูกทำให้ดูเล็ก คือเรื่องอุดมการณ์ของพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ตอนนี้ลิ้นพันกันจนแกะไม่ออก
อยากจะแสดงบทบาท ชูอุดมการณ์พรรค แต่สุดท้าย งงกับตัวเอง ไม่รู้จะเป็นอะไรกันแน่
งูก็ไม่ใช่ ไส้เดือนก็ไม่เชิง
ยึดหลักการผิดๆ จนขัดและแย้งกับกฎหมาย
จนบางคราวก็ให้กฎหมายเป็นฝ่ายผิด เพราะคิดไม่เหมือนก้าวไกล
กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดที่สองก็ผิด สาม สี่ ห้า จะไปเหลืออะไร
พันเป็นงูกินหาง!
แต่เชื่อเถอะครับ พรรคก้าวไกล จะบอกกับ “ด้อมส้ม” ว่า ไอ้ที่ผิดคือ กฎหมาย คือรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พรรค
มาเข้าเรื่องกัน
วานนี้ (๓๐ สิงหาคม) ด้อมแดง นาม “ถือแถน ประสพโชค” แฟนคลับพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ก สะกิดสะเกาพรรคก้าวไกล
“ถ้าเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านอำนาจแบบต้องไปจับมือข้ามขั้วของพรรคเพื่อไทยคือการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้มี ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่
…เรื่องที่พรรคก้าวไกลไม่รับเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน เพราะเหตุผลว่า มี สส.ในพรรคเป็นรองประธานสภาอยู่ จะกลายเป็นอุปสรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดประตูให้มี ส.ส.ร. เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีเสียงของฝ่ายค้าน ที่ไม่มีคนในพรรคมีตำแหน่งในรัฐบาล ไม่มีตำแหน่งประธานหรือรองประธานสภา จำนวน ๒๐% ของฝ่ายค้านทั้งหมด
นั่นคือต้องใช้เสียงฝ่ายค้านถึง ๓๘ เสียง เพื่อสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เสียงของพรรคก้าวไกลถึงแม้จะมีถึง ๑๕๐ เสียง แต่ก็จะเป็นเสียงที่ใช้ไม่ได้เลย เพราะติดเงื่อนไขว่า ในพรรคมี สส.ที่มีตำแหน่งรองประธานสภาอยู่
ส่วนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ถึง ๓๘ เสียง เป็นไปไม่ได้ที่พรรคก้าวไกลจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่จะจงใจให้เป็นอุปสรรคอยู่แบบนี้หรือเปล่า ก็ไม่อาจรู้ได้…”
เป็นไงครับ?
ประเด็นท่านรองหมูกระทะ กำลังจะพิสูจน์ให้เห็นว่า แท้จริงแล้วพรรคก้าวไกล ยึดถืออุดมการณ์ที่คุยโม้มาตลอดหรือไม่
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕๖ ระบุถึงหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่รับรู้กันมา ถึงวันนี้ก็ ๖ ปีแล้ว
โดยเฉพาะ (๖)
…การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยในจํานวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา…
ซึ่งก็คือเสียงฝ่ายค้านถึง ๓๘ เสียง
บทบัญญัตินี้พรรคก้าวไกลก็รู้ครับ
และรู้ดีว่า การที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” มีปัญหา และมีท่าทีจะไม่รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ “หมออ๋องหมูกระทะ” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ยึดเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ ๑ ต่อไปนั้น จะส่งผลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพราะพรรคก้าวไกลจะไม่ใช่ฝ่ายค้าน ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๕๖
เห็นการกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด และส่งผลต่อกระดุมเม็ดที่สองแล้วใช่มั้ยครับ
แต่ก็แปลกใจไม่หาย ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ พรรคก้าวไกลขึงขัง ขอเลื่อนญัตติ ขอให้สภาฯ พิจารณาเห็นชอบและแจ้งให้ คณะรัฐมนตรี ดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งถูกบรรจุในเรื่องที่ค้างพิจารณาลำดับที่ ๓๓ ขึ้นมาพิจารณาก่อน
ก็คือขอลัดคิว
หากมุ่งมั่นจะแก้ไขรัฐธรรมนูญขนาดนี้ ทำไมไม่เคลียร์เส้นทางให้ชัดเจนเสียก่อน
มันเหมือนขยันแต่โง่!
ครับ…สภาเสียงข้างมากจากรัฐบาลเขาตีตก ไม่ให้ลัดคิว
ก็ยังค้างที่ลำดับ ๓๓ ต่อไป
และที่ยังติดค้างคากันอยู่ คือเจตนาของพรรคก้าวไกล
อย่าลืมนะครับว่ากระบวนการเลือกรองประธานสภาฯ รวมถึงกระบวนการโปรดเกล้าฯ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร มันต้องใช้เวลา
ไม่ใช่พอถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มจะแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่พรรคก้าวไกลยังไม่จัดแจงทำอะไรให้ถูกต้องตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนด ถึงเวลานั้นสวรรค์ล่มจะโทษใครไม่ได้ต้องโทษตัวเอง
ฉะนั้นง่ายๆ ครับ ไม่มีอะไรซับซ้อน พรรคก้าวไกล เลิกจมอยู่กับความฝัน แล้วหันมามองดูความจริง กลัดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก
ยอมเป็นฝ่ายค้านอย่างเต็มภาคภูมิ
รอให้ “พิธา” เคลียร์ตัวเองจบ แล้วไปนั่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเสีย
หรือไม่ก็เลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อไปเป็นผู้นำฝ่ายค้าน
ส่วน “ท่านรองหมูกระทะ” ก็ลาออก ปล่อยให้สภาเลือก รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ ๑ คนใหม่ ซึ่งแน่นอนครับต้องเป็นคนของรัฐบาล
อย่าปล่อยให้ ผู้นำฝ่ายค้าน เป็นของพรรคประชาธิปัตย์เลยครับ มันดูย้อนแย้งกับความคิดของพรรคก้าวไกลเอง
มันก็เหมือนที่พรรคก้าวไกล พยายามบอกว่า หัวหน้าพรรคที่ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ ๑ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น
ที่พรรคเพื่อไทยทำในวันนี้คือการปล้น
หากใช้ตรรกะนี้ มันก็ควรให้การเมืองเป็นไปตามธรรมชาติของมัน พรรคฝ่ายค้านที่มี สส.มากที่สุด หัวหน้าพรรคต้องเป็นผู้นำฝ่ายค้าน
ฉะนั้น อย่าไปเอาอย่างเพื่อไทยเลยครับ
กลัดกระดุมเม็ดแรกถูก มันก็ง่ายสำหรับความฝันอันยิ่งใหญ่ของพรรคก้าวไกลที่จะรื้อรัฐธรรมนูญ
อย่าไปขุดกับดักฝังตัวเอง เหมือนตอนตั้งรัฐบาลอีก
อย่าให้เขาว่าเอาได้ว่าก้าวไกลเป็นอุปสรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มันเสียเหลี่ยมครับ