นโยบายแจกปลา-ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

ฟังแล้วนึกภาพตาม
สิ่งที่ “นิพนธ์ พัวพงศกร” นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่งกำลังติดตามการนำเสนอนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ในการหาเสียงครั้งนี้ เพื่อออกรายงานทางวิชาการของทีดีอาร์ไอ ออกมาพูด ฟังดูแล้ว…
พรรคการเมืองขายฝันกันเยอะเหลือเกิน

“นิพนธ์” บอกว่า จากการเก็บข้อมูลเมื่อสิ้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา จาก ๘ พรรคการเมือง มีทั้งสิ้น ๗๖ นโยบาย พบว่าในจำนวน ๕๐ นโยบาย ต้องใช้งบประมาณมหาศาล

หาก พรรค ก. พรรค ข. พรรค ค. พรรค ง. ร่วมกันเป็นรัฐบาลแล้ว จะต้องใช้เงินหลายแสนล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในนโยบายดังกล่าว

เกินกำลังของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งมีแค่ ๓ ล้านล้านบาท!

เช่นนโยบายที่จะให้เงินกับผู้สูงอายุหรือเบี้ยคนชรา ปัจจุบันใช้เงินอยู่ประมาณ ๙ หมื่นล้านบาท
หากทำตามนโยบายที่บางพรรคการเมืองได้หาเสียง จะต้องใช้วงเงินเพิ่มขึ้นถึงเกือบ ๔ แสนล้านบาท

ขณะที่พรรคการเมืองทุกพรรคซึ่งหาเสียงอยู่ในขณะนี้ ไม่มีพรรคการเมืองไหนบอกว่ามีนโยบายปรับขึ้นภาษี
ฉะนั้นที่มาของเงินนอกจางบประมาณแผ่นดินแล้ว ก็คือ “กู้”

“พูดง่ายๆ คุณกำลังหาเสียงวันนี้ โดยนำเงินในวันหน้าที่ลูกหลานของเรา จะต้องทำมาหากิน มาใช้ในการหาเสียงเพื่อจะได้เป็นรัฐบาล อันนี้คือปัญหาที่น่ากลัวโดยที่พบว่ายังไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าแล้วจะหาเงินจากที่ไหนมาทำนโยบายต่างๆ เหล่านี้ จะเพียงพอหรือไม่โดยไม่สร้างความเดือดร้อน”

สิ่งที่นักวิชาการทีดีอาร์ไปสะท้อนมานี้ ทุกพรรคการเมืองต้องตระหนัก เพราะสุดท้ายแล้วภาระจะตกอยู่กับประชาชน
มาตรา ๕๗ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง บัญญัติว่า…

การกําหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณาให้คํานึงถึง ความเห็นของสาขาพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองประจําจังหวัด นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงิน การประกาศโฆษณานโยบายนั้น อย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้

(๑) วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดําเนินการ
(๒) ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดําเนินนโยบาย
(๓) ผลกระทบและความเสี่ยงในการดําเนินนโยบาย

ในกรณีพรรคการเมืองไม่ได้จัดทํารายการตามวรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการสั่งให้ดําเนินการ ให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด
แต่แทบไม่มีพรรคการเมืองให้ความสนใจกฎหมายมาตรานี้เลย

มีบางพรรคได้รับคำชมว่าระบุถึงที่มาของงบประมาณที่จะนำไปตอบสนองนโยบายอย่างชัดเจน นั่นคือพรรคก้าวไกล

ครับ…ก็สงสัยไม่หายว่าคนชม ต้องโลกสวยขนาดไหน

พรรคก้าวไกลบอกว่ามีงบประมาณเหลือเฟือ แค่โยกงบจากกระทรวงกลาโหม สักหมื่นล้านก็สามารถสร้างสวัสดิการอื่นๆ ให้ประชาชนได้แล้ว
งบกลางก็ตัดไปใช้ได้

คนไม่เป็นรัฐบาลพูดง่ายครับ แต่พอเป็นแล้วก็ไม่ต่างจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมา

พรรคก้าวไกลมีนโยบายปฏิรูปกองทัพให้เล็กลง ใช้งบประมาณน้อยลง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จภายในปีสองปี

ขณะเดียวกันงบกระทรวงกลาโหมเมือเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ก็อยู่ในระนาบเดียวกัน

ฉะนั้นหากรัฐต้องการเพิ่มรายได้ไม่กู้ก็ต้องจัดเก็บภาษีเพิ่ม
แต่พรรคการเมืองจะไปสนใจทำไม ในเมื่อไม่ทำตามกฎหมายก็มีแค่โทษปรับเท่านั้น

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา ๑๒๑ บัญญัติว่า…

“พรรคการเมืองใดไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๗ วรรคสองหรือมาตรา ๗๗ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท และปรับอีกวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดระยะเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง”

นอกจากมีแค่โทษปรับแล้ว อีกประเด็นซึ่งสำคัญกว่ามา เพราะสิ่งนี้ทำให้กฏหมายเป็นเพียงเสือกระดาษ นั่นคือ “การตรวจสอบ”

หลายพรรคนำเสนอนโยบายตอนหาเสียงไว้มากมาย แต่พอเป็นรัฐบาล นโยบายกลับหายไปดื้อๆ
ไม่มีอยู่ในนโยบายของรัฐบาล

แต่ไม่เป็นไร เพราะยังมีเรื่องให้ประชาชนเจ็บช้ำน้ำใจกว่านั่นคือ ตอนหาเสียงก็ไปหลอกชาวบ้านว่าทำได้ ได้เป็นรัฐบาล ก็หลอกสภาว่ามีแน่นอน
สุดท้ายหายต๋อม

ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เลย นั่นคือนโยบาย ค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย ทุกสาย
พรรคการเมืองพ่นน้ำลายกันเวทีเปียก ได้เป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ ๒๐ บาททุกสายแน่นอน

ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย รัฐบาลทักษิณ ตอนที่มีรถไฟฟ้าแค่ สายสองสาย จนถึงรัฐบาลยิ่งลัษณ์ มาวันนี้ รถไฟฟ้าเกือบ ๑๐ สาย พรรคเพื่อไทยยังเล่นมุกเดิม ๒๐ บาทตลอดสายอยู่

ขนาดเลือกตั้งผู้ว่ากทม. “ชัชชาติ สุทธิพันธุ์” เอานโยบายนี้มาล่อคนกรุงด้วย
สุดท้ายเป็นไง
อย่างที่เห็น ร้องเป็นแพะ

นโยบายประชานิยมกำลังทำให้ไทยเป็นรัฐสวัสดิพิการ
ใช่ครับ รัฐสวัสดิพิการ
ไม่ใช่รัฐสวัสดิการ
เพราะจ่ายอย่างเดียว ไม่ยอมพูดถึง “รายได้”

รอดูอยู่ครับว่าจะมีพรรคการเมืองไหนหาญกล้าประกาศขึ้นภาษี VAT จาก ๗ เปอร์เซ็นต์ เป็น ๑๐ เปอร์เซ็นต์
พรรคที่ประกาศคือพรรคที่ไม่หลอกประชาชน

จริงอยู่ครับ ไม่มีพรรคไหนบ้าบิ่นเอาเรื่องการขึ้นภาษีมาหาเสียง แต่อย่างน้อยควรบอกกับประชาชนว่า ประชานิยม หรือรัฐสวัสดิการ ต้องแลกมาด้วยอะไร

การขยายฐานภาษี การจัดเก็บภาษีในอัตราที่สามารถรองรับการพาประเทศไปสู่รัฐสวัสดิการคือสิ่งจำเป็น และประชาชนเองก็ต้องเข้าใจสิ่งนี้

หาไม่แล้ว รัฐบาลที่คิดน้อยก็ใช้วิธีง่ายๆ กู้ กู้ และกู้ โยนภาระให้ลูกหลาน
อย่างที่ทำกันมาตลอด

เก็บเบ็ดไว้ แจกปลากันต่อไป

Written By
More from pp
อนาคตตลาดแรงงานภายใต้การเปลี่ยนผ่าน
บุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงานสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “อนาคตตลาดแรงงานภายใต้การเปลี่ยนผ่าน
Read More
0 replies on “นโยบายแจกปลา-ผักกาดหอม”