ผักกาดหอม
เบื้องลึกเบื้องหลังพรรคการเมือง หากคนในไม่ออกมาแฉ ก็ยากที่คนนอกจะล่วงรู้ได้
อย่างเรื่อง “ทักษิณ-เพื่อไทย” ถ้า “จตุพร พรหมพันธุ์” ไม่พูด อย่าว่าแต่คนนอก คนในหลายๆ คนยังไม่รู้เลย
พรรคก้าวไกลก็เช่นกัน เห็นภาพยึดมั่นอุดมการณ์ตรงเป็นไม้บรรทัดแบบนั้น แต่ความจริง ไม่ต่างจากหลายๆ พรรค
มีไม่กี่คนที่ชี้นิ้วสั่งได้!
จิ้มได้ว่าจะให้ใครทำอะไร หรือไม่ทำ
ชาวคณะสามนิ้วควรรับรู้สิ่งที่ “คริส โปตระนันทน์” ดีกรีผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ วันนี้เป็นอดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เพราะเพิ่งจะลาออกจากพรรคเมื่อวันที่ ๑ กุมพาพันธ์ ที่ผ่านมา
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไปพิจารณาเอา
“…ผมอยากได้พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ
เวลาจากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา ๕ ปี
ต้องถามกลับไปที่ประชาชนผู้เป็นสมาชิกพรรค จำนวนกว่า ๖๐,๐๐๐ คน ว่าทราบบ้างหรือไม่ว่า
พรรคมีประชุมสามัญวันไหน พรรคมีการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.กันอย่างไร กลไกในการคัดเลือกนโยบายที่จะหาเสียงในคราวนี้ คุณเคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่? ใครจะได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณรู้หรือไม่?
ผมในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกตลอดชีพทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ตอบได้เลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องของการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ผมให้ชื่อเล่นกลุ่มนี้ว่า “โปลิตบูโร”
หากการบริหารพรรคยังเป็นอย่างนี้ หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจในการบริหารประเทศ พรรคก้าวไกลจะบริหารประเทศอย่างไร ก็คงต้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่สมาชิกพรรคแต่อย่างใด…
….เรื่องนี้ผมรับรู้อย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมสอบถามผ่านแกนนำว่า ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะจัดการอย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมจะขยับไปลง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีโอกาสสูงมากที่เขตที่ผมลงรอบปี ๖๒ (ราชเทวี พญาไท จตุจักร ๒ แขวง) จะถูกแบ่งใหม่แยกเป็นสามส่วน และผมก็เชื่อว่าความรู้ความสามารถของเราสามารถที่จะช่วยให้พรรคหาเสียงทั่วประเทศได้ เพราะ ๒ ปีที่ผ่านมา การทำงานของผมและเพื่อนๆ ในกลุ่มเส้นด้ายลงไปทำงานกับชุมชนแออัดทั่วทุกเขตใน กทม. และในอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ จน ส.ก.ในกลุ่มของผมได้รับเลือกตั้งจำนวนมาก และเกือบชนะอีกจำนวนหนึ่ง
คำตอบที่ได้กลับมาคือ คุณจะมาเป็นได้ยังไง? คุณเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรคขนาดนี้
ผมก็งงสิครับ นี่มันเรื่องอะไร ผมไปเหยียบใครตอนไหน พอนั่งนึกก็ถึงบางอ้อ
ผมคัดค้านการลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของ ส.ส.วิโรจน์ เพราะเห็นว่าตัวผู้สมัครของเราไม่ดีพอที่จะสู้กับผู้ว่าฯ ชัชชาติ
ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ต่อผู้ว่าฯ ชัชชาติ ชนิดคะแนนทิ้งกัน ๒ แสนกับ ๑.๒ ล้านเสียง
ผมคัดค้านการแต่งตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง ส.ส.ซ่อมเขตจตุจักร-หลักสี่ เพราะ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่มีทางที่จะเข้าใจการเลือกตั้งแบบเขต หากไม่เคยลงเลือกตั้งมาก่อน
ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ในเขตชนิดคะแนนทิ้งกันเกือบหมื่นคะแนน
ผมคัดค้านการแต่งตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง ส.ส.ในกรุงเทพมหานคร ปี ๖๖ อีกครั้ง เพราะเรากำลังเอาคนที่ทำเลือกตั้งแพ้มาแล้วครั้งหนึ่งมาคุมเลือกตั้งที่สำคัญกว่าและใหญ่กว่า
ผมในฐานะอดีตประธานมูลนิธิเส้นด้ายแถลงข่าวกรณีที่อาสาของมูลนิธิเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีต ส.ก. พรรคก้าวไกล
ผลคือ ผมโดนถล่มจากสมาชิกพรรคว่า ไม่ปกป้องพรรค…
…วันนั้นแกนนำท่านหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท เปรียบเทียบให้ผมฟังว่า
หากมีเซลส์ในบริษัท ๒ คน คนแรกเป็นคนเก่ง คนฉลาด ยอดขายดีมากๆ แต่ต่อรองผลประโยชน์ตลอด กับอีกคนยอดขายครึ่งเดียวของคนแรก แต่จงรักภักดีมากๆ
เค้าจะเลือกคนที่สอง
ผมก็เลยรู้แล้วว่า ชะตากรรมผมในพรรคนี้จะเป็นตาย ร้าย ดี ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผมจะพิสูจน์ความจงรักภักดีกับ “โปลิตบูโร” ได้หรือไม่?
แน่นอนนั่นคือวิธีการบริหารงานแบบหนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีถูก ไม่มีผิด
แต่เมื่อคุณโฆษณากับประชาชนแล้วว่าคุณเป็นพรรคประชาธิปไตย พฤติกรรมของคุณต้องทำให้ได้ตามที่คุณพูด
ไม่งั้นจะกลายเป็นสำนวนไทย ข้างนอกสุกใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง…
…วันนี้นโยบายของก้าวไกลหล่นลงมาจากฝากฟ้า หล่นลงมาจากห้องแอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไร
วันนี้หนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ เงินบำนาญของคนที่อายุเกิน ๖๐ ปี ถ้วนหน้าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากแปดหมื่นกว่าล้าน เป็นสามแสนล้านหกหมื่นล้านบาททันที
หากใช้นโยบายนี้ต่อไปอีก ๑๐ ปี คนสูงอายุ ๖๐ ปีขึ้นไปจะกลายเป็น ๒๐ ล้านคน เราจะมีรายจ่ายประจำปี ปีละ ๖ แสนกว่าล้านบาท หรือเท่ากับประมาณ ๒๐% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ประเทศไทยเตรียมรับความชิบหายได้เลยครับ…
…พรรคบอกว่า พรรคเป็นพรรคของประชาชน แต่ตอนนี้พรรคกำลังจะกลายเป็น “พรรคพวก” คนที่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งกำลังได้เป็นต่อในสมัยหน้า หาก “โปลิตบูโร” ถูกใจ ยังงั้นหรือ? หากพรรคจะเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ พรรคต้องกล้าทำตามข้อเสนอ set zero ของ อ.ปิยบุตร พรรคต้องกล้าเปิดให้สมาชิกโหวตผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อทางตรงอย่างโปร่งใส เพื่อพิสูจน์กับประชาชน ว่านี่คือพรรคการเมืองสมาชิก เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของโปลิตบูโร ไม่ใช่พรรคการเมืองของ “พรรคพวก”…
ครับ…ก็พอชุ่มฉ่ำ
ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เมื่อปี ๒๕๖๓ เมื่อครั้งพรรคอนาคตใหม่ยังไม่ถูกยุบ มีการแฉพฤติกรรมของแก๊ง “โปลิตบูโร” มาแล้ว
คนที่แฉก็เป็นคนในเหมือนกัน
จำได้หรืเปล่า “ดร.โจ-ชาญวิทย์ ใจสว่าง” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ลากไส้ “สามสัส” จนเซไปอยู่พักหนึ่ง
…อนาคตใหม่จะทำเหมือนพระยันตระ คือเทศน์ดีมีคุณธรรม แต่มั่วสีกา โดยแสดงธรรมสวยๆ เหมือนจะพาให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด…
…อนาคตใหม่ มารูปแบบนี้ ไปที่ไหนจะสร้างประชาธิปไตยที่นั่น แสดงหลักประชาธิปไตยสวยๆ กระจายอำนาจ ป้องกันผูกขาด ทำลายระบบอุปถัมภ์ ปราบปรามคอร์รัปชัน
แต่ทั้งหมดดำรงอยู่ในพรรคอนาคตใหม่อย่างเหนียวแน่น กรรมการบริหารพรรค ๕ คน กุมอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ โดยมีบัญชีรายชื่อ ๒๐ อันดับแรกรับใช้อย่างใกล้ชิด เขาตีวงบริหารพรรคกันแค่นี้ ปัจจุบันยังเป็นแบบนี้
ไม่มี ส.ส. ผช.ส.ส. คนไหน ปฏิเสธว่าสิ่งที่ผมพูดไม่เป็นความจริง ที่โทรมาและนัดพบยังบอกว่า นับวันมีแต่บ้าอำนาจมากกว่าเดิม โดยเฉพาะ “ตี๋เล็ก” นักกฎหมายจอมกร่าง รวบอำนาจในพรรคไว้คนเดียว ส่วนสาขาจังหวัด “ติ่งส้ม” ควบคุม…
…สังคมอย่าหลง พระธรรมประชาธิปไตยหวานๆ จากนักเทศน์อนาคตใหม่
ดูกันไปยาวๆ โดยเฉพาะหลังศาล รธน.ตัดสิน ทุกพรรคการเมืองเก่าและใหม่จะสร้างประชาธิปไตยไปทางไหน ค่อยว่ากันต่อไป…
พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว วันนี้แปลงร่างเป็นพรรคก้าวไกล
แล้วเป็นอย่าง “คริส โปตระนันทน์” แฉนั่นแหละครับ