ผักกาดหอม
ชัดเจนนะครับ
“หลังเอเปกก็ปีหน้าไง”
คำตอบจาก “ลุงตู่” ถึงอนาคตทางการเมืองหลังเสร็จสิ้นการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำประเทศ กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก)
ก็นับไป…มกราคม ถึง มีนาคม ช่วงเวลา ๓ เดือน ไปเร็วไปช้าแทบไม่ต่าง
รัฐบาลอยู่ครบวาระก็คงไม่มีใครชักดิ้นชักงอตาย
หรือว่ามี?
การเมืองในยุคที่ความขัดแย้งรุนแรง แต่รัฐบาลสามารถอยู่มาได้เกือบจะครบ ๔ ปีรอมร่อ ถือว่าไม่ธรรมดาทีเดียว
หากเปรียบเทียบการเมืองยุคก่อนหน้านี้ การที่รัฐบาลบริหารครบเทอมคือ ๔ ปี ถือเป็นเรื่องต้องฉลองใหญ่ เพราะนานทีปีหน
ถ้าไม่นับจอมพลป. พิบูลสงคราม การเมืองยุคหลังมานี้ยุค “ทักษิณ ชินวัตร” เทอมแรกที่อยู่ครบ ๔ ปี จากปี ๒๕๔๔-๒๕๔๘
การอยู่ครบเทอมของทักษิณ มีปัจจัยหลักจากรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ที่ต้องการให้รัฐบาลเข้มแข็ง “ทักษิณ” จึงสนองรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ ดูดส.ส.ยกพรรค ไทยรักไทยค่อยๆกลืนพรรคร่วมรัฐบาล จน “ทักษิณ” อยู่ครบ ๔ ปี
ว่านั่นคือรัฐบาลประชาธิปไตยรัฐบาลแรกที่อยู่ครบเทอม
แต่ก็เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่อยู่ครบเทอมรัฐบาลแรกที่เต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาว โดยเฉพาะการคอร์รัปชั่น
หากรัฐบาลประยุทธ์อยู่ครบเทอมก็จะเป็นเซอร์ไพรส์
รัฐบาลที่ถูกด่าว่าเป็นเผด็จการสืบทอดอำนาจ ชั่วช้าสามานย์ ทั้งๆที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐสภาเป็นผู้โหวตเลือกนายกฯ ก็สามารถอยู่ครบเทอม ๔ ปีได้เช่นกัน
สมัยทักษิณเทอมแรกความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่งจะก่อตัว เทียบกับยุคนี้เหมือนหนองใกล้แตก ก็แสดงว่ารัฐบาลประยุทธ์มีอะไรเหนือกว่า
แล้วมันคืออะไร?
ความเหนือกว่าอาจอยู่ที่ตัวนายกฯ
“ทักษิณ” ไม่ได้เหนือกว่า “ประยุทธ์”
บรรดาลิ่วล้อพากันยกย่อง “ทักษิณ” ว่าเป็นนายกฯ ที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา
แต่ที่จารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรคือ “ทักษิณ” เป็นนายกฯ ที่คอร์รัปชั่นมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ส่วน “ประยุทธ์” วันนี้ไม่มีคดีโกงติดตัว
ฉะนั้นโอกาสอยู่ครบเทอมมีสูงกว่าอยู่ไม่ครบ
แต่ก็มีคนอยากให้ยุบสภา หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไฟเขียวกฎหมายเลือกตั้ง ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายนนี้
พฤติการณ์มันฟ้องตั้งแต่วันนี้แล้ว
ประชุมสภา ๒๓ พฤศจิกายน ล่มอีกตามเคย
ไปฟังฝ่ายค้านก็จะได้คำตอบว่า สภาฯล่มรัฐบาลอยู่ลำบาก หมดช่วงฮันนีมูน ควรยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนได้แล้ว
แต่หากฟังคำชี้แจงจากสภาฯ จะได้อีกคำตอบ และมีข้อเท็จจริงมากกว่า
“นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์” ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เอาตัวเลขมายัน
ในการนับองค์ประชุม มีผู้แสดงตนทั้งสิ้น ๒๒๘ คน จากจำนวนองค์ประชุม ๒๓๗ คน
แบ่งเป็นฝ่ายค้านคือ
พรรคเพื่อไทย มีผู้แสดงตน ๑๑ คน จาก ๑๓๑ คน
พรรคก้าวไกล ๖ คน จาก ๕๐ คน
พรรคเสรีรวมไทย ๓ คน จาก ๑๑ คน
พรรคประชาชาติไม่มีผู้แสดงตน จาก ๗ คน
พรรคเพื่อชาติ ๑ คนจาก ๖ คน
พรรคพลังปวงชนไทยกับ พรรคไทยศรีวิไลย์ไม่แสดงตน
พรรคฝ่ายรัฐบาลแสดงตน ๒๐๗ จาก ๒๖๗ คน
ก็แสดงว่าฝ่ายที่ต้องการให้สภาฯล่มอยู่ตลอดเวลาคือฝ่ายค้าน แล้วเอาไปอ้างเป็นเหตุผลว่ารัฐบาลต้องยุบสภาได้แล้ว
ระยำ!
สภานิติบัญญัติ ไม่ทำหน้าที่ตัวเอง
ส.ส.กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน มีหน้าที่หลักคือพิจารณากฎหมายในสภา
แต่ตอนนี้ทำหน้าที่ล่มสภาเป็นหลัก เป้าหมายคือเปลี่ยนขั้วอำนาจ
อยากกลับมาเป็นรัฐบาลให้หายปากแห้งบ้าง
อีก ๓ เดือนรอไม่ได้เชียวหรือ?
ทั้งเจ้าของคอกทั้งลูกหาบเล่นเกมสารพัด
เจ้าตัวนายใหญ่ก็กัดทุกเม็ด
ก็รายการเดิมเวลาเดิม หัวหน้ากับสมุนสุมหัวด่า “ลุงตู่”
มันด่าทุกเรื่อง
เขาจั่วหัวแบบนี้ครับ…
“…ภาษากายนั้น สำคัญไฉน พี่โทนี่แนะว่า อย่าไปทำตัวหน่อมแน้ม เพราะเราไม่ใช่ลูกน้องของต่างชาติ ดังนั้นช่วงที่พี่โทนี่จัดงาน APEC เขาจึงเน้นการจับมือทักทายกับเพื่อนๆ ผู้นำชาติอื่นๆ แต่หัวหน้ารัฐบาลชุดนี้กลับเน้นการโค้งคำนับ…”
โค้งคำนับทักทายผู้นำชาติต่างๆ มันผิดเหรอ
การทำตัวอ่อนน้อมมันผิดตรงไหน
ถ้าบอกว่าเรื่องศักดิ์ศรี “ลุงตู่” เขารู้ครับว่าต้องทำอย่างไรไม่ให้กระทบกับศักดิ์ศรีของชาติ ไม่จำเป็นต้องให้นักโทษหนีคุกคดีโกงมาสอน
และนับตั้งแต่วันประชุมเอเปก จนมาถึงวันนี้ ไม่เห็นมีสื่อชาติไหนไปตีข่าวว่านายกฯไทย ทำตัวเป็นสมุนรับใช้ใคร
ภาษากายที่เขาโค้งคำนับระหว่างมัน จับมือกัน หรือการทักทายแบบนิวนอร์มอลในรูปแบบต่างๆ มันคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
การจัดเอเปกยุค “ทักษิณ” มันต่างจากยุค “ลุงตู่” แทบจะสิ้นเชิง
ในวันที่มีข่าว สมเด็จฮุนเซน ขึ้นสองขีด จนมาร่วมประชุมเอเปกไม่ได้ วันนั้นผู้นำหลายชาติเขาต้องระวังตัวอย่างมาก
เอาเข้าจริงการจับมือในช่วงโควิดระบาดรอบใหม่ ไม่มีใครอยากทำด้วยซ้ำ แต่จำเป็นต้องทำ เป็นการให้เกียรติกัน
ก็คงจะมีก็แค่ภาษากายของคนบางคนเท่านั้นแหละครับ ที่คิดแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว
หลังรัฐประหารปี ๒๕๓๔ ใครมิทราบไปยืมกุมเป้าท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม ถ่ายรูปคู่กับ “บิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์”
“ทักษิณ” วิ่งเข้าหาอำนาจโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่า อำนาจในขณะนั้นจะมาจากการเลือกตั้ง หรือการทำรัฐประหาร
แต่ต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
วันนั้น “ทักษิณ” พูดเองไม่ใช่หรือว่า “ถ้าไม่มีพี่ชายผมคนนี้ ก็ไม่มีวันนี้”
แล้ววันนี้ทำถึงปากดีนักหล่ะ