“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” แนะชาวเล “อุรักลาโว้ย” ใช้สิทธิตามเงื่อนไขกฎหมาย ฟ้องศาลขอเปิดทางเพื่อประโยชน์สาธารณะหลังเอกชนอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ปิดทางเดินเข้าโรงเรียน และฟ้องขับไล่ชาวบ้าน เพราะเป็นปัญหาพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน นอกเหนือความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ ขณะเดียวกันสั่งตรวจสอบที่มาของโฉนดที่ดินนายทุน ถ้าพบว่ามีที่มาไม่ถูกต้องจะต้องถูกเพิกถอนทันที
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และวันนี้มาในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ ตามคำสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีชาวเลอูรักลาโว้ย บนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ส่งหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากการถูกเอกชนแจ้งความดำเนินคดี ฟ้องร้องในข้อหาร่วมกันเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ก่อนปิดเส้นทางสัญจรต่างๆ เช่น ทางเข้าโรงเรียน และทางขึ้นลงทะเล ทำให้ไม่สามารถทำมาหากิน และใช้ชีวิตตามปกติได้ รวมทั้งขอให้ตรวจสอบการซื้อขายที่ดินของเอกชนทับซ้อนกับพื้นที่ครอบครองที่ดินเดิมของชาวบ้านที่เป็นข้อพิพาทมาเป็นเวลานาน
โดยในที่ประชุมนายจำนงค์ จิตรนิรัตน์ ตัวแทนชาวเลอุรักลาโว้ย กล่าวถึงความเป็นมาของปัญหาว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของชาวอุรักลาโว้ยเคยใช้ทำมาหากินตั้งแต่ดั้งเดิมที่เข้ามาอาศัย และได้รับเอกสารสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินในเวลาต่อมา แต่เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย ทำให้ถูกคนกลางซึ่งเป็นคนในพื้นที่นำเอกสารสิทธิ์ที่ลงลายพิมพ์นิ้วมือของชาวบ้านไปขายต่อให้กับนายทุนเอกชนโดยที่ชาวบ้านไม่รับทราบจนทำให้พื้นที่ตกเป็นสิทธิ์ของเอกชน นำมาสู่การฟ้องร้องขับไล่ชาวบ้านให้ออกจากพื้นที่ พร้อมกันนี้ยังได้ปิดกั้นเส้นทางสัญจรเดิมของชาวบ้านทำให้เดือดร้อน นอกจากนี้ความไม่ชัดเจนของเขตที่ดินยังทำให้ชาวบ้านถูกฟ้องร้องขับไล่อีกหลายครอบครัว
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่าจากที่ได้ตรวจสอบและรับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า กรณีนี้สรุปได้สองประเด็นปัญหาคือ กรณีความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ถูกผู้ที่อ้างเป็นเจ้าของที่ดินปิดกั้นทางเดินสาธารณะ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนขณะนี้นั้นเป็นข้อพิพาทฟ้องร้องระหว่างเอกชนกับเอกชน หน่วยราชการไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ แต่ชาวบ้านสามารถที่จะยื่นฟ้องต่อศาลได้เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเปิดทางจำยอมเพราะเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านเคยใช้มาก่อนอย่างน้อย 60 กว่าปีตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโรงเรียน ซึ่งเป็นสิทธิที่ประชาชนจะสามารถฟ้องร้องขอให้ศาลมีคำสั่งได้
ส่วนประเด็นที่สอง กรณีการขอให้ตรวจสอบเรื่องที่มาของเอกสารสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน เห็นว่าเป็นเรื่องของหน่วยงานรัฐ ที่จะต้องกลับไปตรวจสอบที่มาที่ไปทั้งหมดว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ตนจะได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกลับไปตรวจสอบความเป็นมา หากพบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ถูกต้องก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยนายพีระพันธุ์ได้อธิบายและชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆให้กับกลุ่มตัวแทนชาวเลอุรักลาโว้ยรับทราบ พร้อมแนะนำและประสานให้เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอให้ออกคำสั่งให้เปิดทางให้กับชาวบ้าน ส่วนกรณีการตรวจสอบเรื่องที่มาของเอกสารสิทธิ์ทั้งหมดบนเกาะหลีเป๊ะ จะได้เร่งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบที่มาของเอกสารสิทธิ์ว่าเป็นอย่างถูกต้องหรือไม่ หากพบว่าไม่ถูกต้องก็จะต้องทำตามขั้นตอนและเพิกถอนทันที
นายพีระพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า จากข้อร้องเรียนของชาวเลอุรักลาโว้ย เรื่องที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะนั้น ตนได้ตรวจสอบรายละเอียดแล้วก็พบว่ามีอยู่ 2 ประเด็นที่ต้องแยกระหว่างการฟ้องร้องของเอกชนกับเอกชนที่พนักงานของรัฐไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ กับเรื่องการตรวจสอบที่เกี่ยวข้องกับพนักงานรัฐ แต่ที่ผ่านมาประชาชนมักจะเข้าใจผิด และนำทั้งสองเรื่องมาปนกันทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้จบไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นได้ ซึ่งเมื่อไม่เข้าใจกันทำให้เรื่องยืดเยื้อไม่จบ เพราะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด และบางครั้งก็ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับชาวบ้าน ซึ่งกรณีลักษณะนี้ไม่ได้เกิดแค่ที่เกาะหลีเป๊ะ แต่พบว่าเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ที่มีกรณีพิพาทเรื่องที่ดิน
“การที่จะแก้ปัญหาการเผชิญหน้าแบบนี้ ผมคิดว่าต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพราะบางครั้งชาวบ้านมักจะเข้าใจข้อเท็จจริงผิด บางครั้งส่วนราชการเองก็อธิบายไม่เป็น บางครั้งราชการเองก็คุ้นกับการใช้อำนาจ ก็เลยทำให้คุยกันไม่ค่อยเข้าใจ ปกติชาวบ้านก็รู้สึกอยู่แล้วว่ามักจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อเขามีความรู้สึกพื้นฐานแบบนี้ แต่ในฐานะภาครัฐไปกระตุ้นความรู้สึกยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเป็นการไปรังแกเขาไหม ไปเข้าข้างนายทุนไหม จึงทำให้เกิดปัญหา ดังนั้นหากหน่วยงานรัฐเองรู้จักวิธีอธิบาย วิธีทำงานที่ถูกต้อง การมีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้าน ผมว่าจะทำให้เกิดการเข้าใจกันมากขึ้น” นายพีระพันธุ์กล่าว