ผักกาดหอม
เป็นความคิดที่ดี
“โบว์-ณัฏฐา มหัทธนา” นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว พิธีกรรายการข่าว มีข้อเสนอที่น่าสนใจ
โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียล
“…ถาม: ทำไมคดี ๑๑๒ จึงควรใช้ช่องทางการขอพระราชทานอภัยโทษ มากกว่านิรโทษกรรม?
ตอบ: เพราะเป็นคดีที่มีการหมิ่นเกียรติตัวบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐอยู่ ปกติเวลาเราล่วงเกินใครก็ควรมีการ ‘ขออภัย’ กันมากกว่าจะใช้วิธี ‘ลบโทษ’ เอาเลย
เป็นโอกาสให้ผู้กระทำได้แสดงความสำนึกผิด ผู้คนที่รู้สึกเดือดร้อนจากการกระทำเหล่านั้นเขาจะได้คลายความโกรธเคืองลงไปด้วย ต้องยอมรับว่าหลายคนกระทำรุนแรงมากและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนถึงวันนี้
เสนอลบโทษให้เฉยๆ คงไม่มีใครสบายใจ นอกจากคนที่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำเหล่านั้นตลอดมา…”
หลักการนี้มิใช้ได้เฉพาะกับพระมหากษัตริย์
กับชาวบ้านธรรมดา ก็ควรนำมาใช้เช่นกัน เพราะเป็นสารตั้งต้นนำไปสู่การปรองดอง สมานฉันท์อย่างแท้จริง
เพราะคนที่รู้สึกผิด และแสดงความขอโทษ คือคนที่หมดสิ้นซึ่งความอาฆาตมาดร้าย เลิกผูกพยาบาท เลิกตั้งตนเป็นศัตรู
ที่สำคัญรู้ซึ้งแล้วว่าข้อมูลข่าวสารที่ตนได้รับนั้น ผิดพลาด บิดเบือน
ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
และสำคัญที่สุด วิธีนี้จะไม่สร้างความขัดแย้งเพิ่ม
ต่างกับการนิรโทษกรรมอย่างสิ้นเชิง
เพราะการนิรโทษกรรมไม่ได้อยู่บนพื้นฐานแห่งการสำนึกผิด กลับมุ่งเพียงแก้ไขปัญหาการเมืองให้คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
การนิรโทษกรรม ในกฎหมายอาญา คือ การลบล้างการกระทำความผิดอาญาที่บุคคลได้กระทำมาแล้ว โดยมีกฎหมายที่ออกภายหลังการกระทำผิดกำหนดให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด
ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด
ฉะนั้นการนิรโทษกรรมในแง่กฎหมายแล้วเท่ากับผู้นั้นไม่เคยทำความผิดมาก่อน
บริสุทธิ์ผุดผ่อง
แต่สำนึกหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
การนิรโทษกรรมจึงมิได้แก้ปัญหาความขัดแย้งได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะการล้างผิดโดยมิได้สำนึกผิด ผู้กระทำความผิดย่อมพร้อมที่จะกลับมาทำความผิดได้ตลอดเวลา
เช่นกรณีการนิรโทษกรรม ม.๑๑๒ ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่า คนอย่าง เพนกวิน รุ้ง อานนท์ ฯลฯ จะไม่กลับมาทำความผิดเดิมซ้ำ เพราะเป้าหมายของคนกลุ่มนี้มีความชัดเจนมาแต่ไหนแต่ไร
เว้นเสียแต่ว่าสำนึกผิดแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นไม่ถูกต้อง
ฉะนั้นเมื่อเปรียบกับการขอพระราชทานอภัยโทษจึงมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
“อภัยโทษ” มีหลักการที่ค่อนข้างชัดเจน เป็นราชประเพณีที่สืบทอดมาแต่โบราณกาล
ดังความที่ปรากฏในพระไตรปิฎกในหลายตอน อาทิ อรรถกถาปัพพตูปัตถรชาดก ซึ่งเป็นตอนที่พระเจ้าโกสลได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอคำแนะนำว่าจะทำอย่างไรกับอำมาตย์ของพระองค์ที่กระทำความผิด
พระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้พระเจ้าโกสลทราบว่า อดีตกษัตริย์ในอินเดีย คือ พระเจ้าพรหมทัตซึ่งครองราชสมบัติกรุงพาราณสีได้พระราชทานอภัยโทษแก่อำมาตย์ที่เป็นชู้กับหญิงของพระองค์มาแล้ว ซึ่งทำให้พระเจ้าโกสลตัดสินพระทัยในการพระราชทานอภัยโทษแก่อำมาตย์ของพระองค์เช่นกัน
อังคุลิมาลสูตร ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคพุทธกาล เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลกษัตริย์แคว้นโกศลได้นำกองกำลังทหารม้าจำนวน ๕๐๐ ออกตามจับโจรองคุลิมาลที่เที่ยวเข่นฆ่าประชาชน แล้วเอานิ้วมือผู้เคราะห์ร้ายมาร้อยเป็นพวงมาลัยสวมใส่ แต่กลับพบว่าองคุลิมาลได้ออกบวชในพุทธศาสนาแล้ว
พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า หากโจรร้ายสำนึกความผิดและกลับใจมาเป็นผู้ถือศีลแล้วจะดำเนินการอย่างไรกับโจรร้ายนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ตรัสตอบพระพุทธเจ้าว่าจะพระราชทานอภัยโทษแก่องคุลิมาล
อุดมคติในทางพุทธศาสนา พระราชาคู่กับทศพิธราชธรรม ที่พระราชาทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์ในการปกครองบ้านเมือง
เป็นการปกครองโดยธรรมอันจะนำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่ประชาชน โดยอภัยโทษ เป็นอภัยทาน จัดว่าเป็น ทาน อย่างหนึ่งซึ่งเป็นทศพิธราชธรรมข้อแรกของพระราชา
ต่อมา ภายหลังแนวความคิดเกี่ยวกับธรรมราชาได้แพร่จากอินเดียเข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ในยุคราชอาณาจักรสุโขทัย ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘
ยุครัตนโกสินทร์ แนวคิดธรรมราชาดูเหมือนจะมีบทบาทที่สำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมาในยุคราชอาณาจักรอยุธยา พระมหากษัตริย์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงราษฎรเป็นอย่างมาก
อาทิ รัชกาลที่ ๓ ทรงเห็นว่านักโทษที่ก่ออาชญากรรมต่างๆ ปล้นทรัพย์ สูบฝิ่น หรือดื่มสุรา เป็นผู้เหยียบย่างบนทางที่นำไปสู่นรกในภพหน้า
พระองค์มีน้ำพระราชหฤทัยเปี่ยมไปด้วยพระเมตตากรุณา จึงให้มีการเทศนาสั่งสอนหลักธรรมในพุทธศาสนา ซึ่งหากนักโทษสามารถปรับปรุงแก้ไขตนเองได้ ก็จะได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วรับไว้เป็นขุนนางในราชสำนัก
การพระราชทานอภัยโทษเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงพระกรุณาตามที่จะทรงเห็นสมควร
ประเทศที่ใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่าง อังกฤษและไทย มีแนวคิดพื้นฐานเดียวกันคือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งความยุติธรรม (The king is the foundation of justice)
พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดในการอภัยโทษชนิดที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี “พระราชกฤษฎีกาวางระเบียบการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา พ.ศ. ๒๔๕๗”
เรียกว่า การพระราชทานพระมหากรุณาลดหย่อนผ่อนโทษ
รัชกาลที่ ๖ นี้เองที่ทรงประกาศเลิกปลดปล่อยนักโทษในโอกาสพิธีบรมราชาภิเษก
และยังได้ตรา พระราชกำหนดพระราชอภัยโทษ พ.ศ. ๒๔๕๙ ขึ้นมาใช้เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับใช้พิจารณาอภัยโทษให้เป็นที่ชัดเจนแน่นอนลงไป เป็นที่รับรู้และถือปฏิบัติของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้มีความชัดเจนในการถือปฏิบัติ
แต่ก็ถือว่าเป็นพระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ที่จะตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยพระองค์เองอยู่
ปัจจุบัน เงื่อนไขและหลักเกณฑ์การขอรับพระราชทานอภัยโทษเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจได้ต่อเมื่อมีผู้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมขึ้นไปเท่านั้น
ซึ่งต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการด้วย คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ปัจจุบันมีผู้ก่อความผิดคดี ม.๑๑๒ จำนวนมาก หากทุกคนสำนึกในความผิดจริง ก็สมควรที่จะใช้วิธีขอพระราชทานอภัยโทษ
ผลที่ได้จะลดความขัดแย้งในสังคมได้มาก
แต่หากยืนกรานจะใช้วิธี ออกกฎหมายนิรโทษกรร ม.๑๑๒ ผลที่ได้คือจุดเริ่มต้นความขัดแย้งรอบใหม่
มนุษย์ผู้เจริญแล้วต่างรู้ดีว่าต้องเลือกวิธีไหน