เป็นคนไทย “ต้องรู้” -เปลว สีเงิน

เปลว สีเงิน

๕ ธันวา.เป็นวันอยู่ใน “ปฎิทินใจ” คนไทยทุกคน
เพราะ….
๑.เป็นวันคล้ายวัน “พระบรมราชสมภพ” ของพ่อบนฟ้าคือในหลวง “รัชกาลที่ ๙”

๒.เป็น “วันพ่อแห่งชาติ” และ

๓.เป็น “วันชาติ”

มีเรื่อง “ลอกมาเล่า” ให้ฟัง เกี่ยวกับ “ชาติไทย” ของเรา ที่อยู่ภาวะอันตรายจากน้ำมือคนไทย ไปจ้างต่างชาติโค่นล้ม

อาจารย์ “สมเกียรติ โอสถสภา” ท่านสังเคราะห์ความเรียบร้อยแล้วและโพสต์เมื่อวาน

ผมจึงมีหน้าที่อย่างเดียว คือ “ลอก” มาให้อ่าน

อ่านกันแล้ว ก็ควรขอบคุณอาจารย์สมเกียรติและคุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ด้วย
……………………..

สมเกียรติ โอสถสภา
เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
………………….

เรียบเรียงจากบทความของ “คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์”
อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
……………………..

นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด เกิดขึ้นมากผิดปกติ
มีการเปิดเผย ไม่เกรงกลัว โดย “กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์”

ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น
แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ

ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ “ดูเหมือนจริง”
แต่ “เป็นความเท็จ”!

ส่วนหนึ่ง เป็นผลงานของนักล็อบบี้จาก “สำนักงานกฎหมาย” ที่มีชื่อเสียง และบริษัทประชาสัมพันธ์ ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท

บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท)
เพื่อไปล็อบบี้ “สมาชิกรัฐสภา” และ “รัฐบาลอเมริกัน” เพื่อผลทางการเมืองของตน

อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือ เกิดกระแสต่อต้าน “สถาบันกษัตริย์” ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้าน “สถาบันกษัตริย์” ไทยในสหรัฐ ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน

คนหนึ่ง…คือ
– เจ.เค.แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ (CFR-เปลว) ที่ เจ.เค.ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์
และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้าม”สถาบันกษัตริย์”ว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย”สลับกันมาหลายปีแล้ว

-อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า “ได้รับการว่าจ้าง” ให้มาทำงานด้านนี้
และเป็นคนที่นำเอาคดีของ “โจ กอร์ดอน” และ “อำพล ตั้งนพกุล” หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112
เพื่อให้พาดพิงไปถึง “พระมหากษัตริย์ไทย” ในรัชกาลที่ 9

ในความเป็นจริง….
คนพวกนี้ ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย “สายสาธารณรัฐ” ที่คนไทยรู้จักดี
ในกลางปี 2556 นักล็อบบี้พวกนี้ วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของ “สมาคมเอเชียศึกษา”(Association of Asian Studies)
ซึ่งมีคนไทยที่ “ต่อต้านสถาบันกษัตริย์” มีอิทธิพลอยู่

การอภิปรายดังกล่าว มีเป้าหมาย มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ
รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆแล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9

ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษาของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” รัชกาลที่ 9
นักล็อบบี้อเมริกัน ได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้น จนทำให้ “สมาชิกสภาสหรัฐ” หลงเชื่อ
“สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ” พยายามหลีกเลี่ยง ไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา
จน “สภาสูง” ต้องส่งหนังสือ” ถวายพระพร” แทน

สะท้อนให้เห็นว่า………
นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับ “นายจ้างคนไทย” ที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล

ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น…….
สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(National Endowment for Democracy) (NED-เปลว)
ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้าน “สถาบันกษัตริย์” ตามที่กลุ่มพวกนี้ ร้องขอมา

โดยอ้างว่า เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย
แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ว่า

“ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน”

นักล็อบบี้เหล่านี้ ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุดและไปเคลื่อนไหวชักจูง ชี้นำ โน้มน้าว ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรม ที่ว่า

“สถาบันสูงสุดของไทย หรือสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย …สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน”

อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย “ไม่ใช่เรื่องการเมือง” แต่เป็นปัญหาการ “สืบราชสมบัติ” ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง)

พวกนี้ พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว”
เพราะถ้าสถาบันไม่สู้ สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์ เป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา

หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้…..
สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ สหรัฐและประเทศเหล่านี้ ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย”

อย่างไรก็ดี ฝ่าย “สถาบันกษัตริย์” ส่งสัญญานมาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้”
โดยเฉพาะ………
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทยได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร

สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหารและรัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม
จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น….
ที่จะเป็น “กำแพงป้องกัน” สถาบันสูงสุดของประเทศ ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

รัฐบาลชุดก่อน เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี.
เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย

แต่…ปรากฏว่า …
ศูนย์เหล่านี้ กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด
และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย

ไทยถูกคุกคามด้วย “สงครามยุคใหม่” ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare)
เช่น การก่อความรุนแรง ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และสงครามไซเบอร์

สงครามทั้งสามนี้ มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ แต่มี “สนามรบ” อยู่ทั่วโลก
ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้
มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า“แบล็ควอเตอร์”ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย

โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ

ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว
อันตรายที่เกิดขึ้นต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” นั้นเป็นเรื่องจริง และหนักหนา

“ชาติและสถาบัน” กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วน อยู่ใต้น้ำ

บทความนี้ ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น

ปัญหาของประเทศไทย ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก เราต้องช่วยกันเป็น “ปราการด่านสุดท้าย” ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์
ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า “สถาบันสูงสุดยังสู้ และคนไทยพร้อมจะสู้ เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ”
……………………..

“รู้” แล้วต้อง “สู้” นะครับ
แต่แบบ “สู้ไป-กราบไป-ขายยกโครงการไป” ไม่เอา!

เปลว สีเงิน
๕ ธันวาคม ๒๕๖๕

 

Written By
More from plew
นวัตกรรม “ปฎิวัติ” นาไทย – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน เมื่อวาน อ่านข่าวพบ “นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ” ปลัดกระทรวงพลังงาน นั่งตำแหน่ง “ประธานบอร์ดปตท.” อีกตำแหน่ง ก็พอดีกับเรื่องที่ผมจะคุยวันนี้เลย
Read More
0 replies on “เป็นคนไทย “ต้องรู้” -เปลว สีเงิน”