ผักกาดหอม
พูดกันเยอะใครขายชาติ
ถ้าจะขยายความใช้ชัดเจน เรื่องรัฐบาลขายชาติ ต้องเข้าโปรแกรมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คงต้องไปเริ่มต้นตั้งแต่รัฐบาลที่บริหารประเทศ ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี ๒๕๔๐
รัฐบาลชวน หลีกภัย ต้องกลืนเลือดเซ็นกฎหมาย ๑๑ ฉบับ ที่ขณะนั้นพากันเรียกว่ากฎหมายขายชาติ คือการเช็ดอาจมที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทิ้งเอาไว้
ในปี ๒๕๓๙ คนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
แถมมีใครบางคนเสวยสุขบนความทุกข์ของประชาชนทั้งประเทศ รู้ล่วงหน้าก่อนการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ๓ วัน
โกยกันไปเยอะ
ฉะนั้นถ้าจะโทษกันว่าใครทำให้ต้องออกกฎหมายขายชาติ ก็ดูหน้าดูตากันเอาไว้
เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ. …ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เนื้อหามีคนบอกว่าเรากำลังจะสิ้นชาติ
ให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ๑ ไร่ แลกการลงทุน ๔๐ ล้าน
นักการเมืองฝ่ายค้านโจมตีกันใหญ่ กฎหมายขายชาติ ทำให้ไทยเสียดินแดน ไม่ใช่ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ถ้าใครอ่านหนังสือทีละ ๘ บรรทัด คงงับเข้าไปอย่างจัง
วันเสาร์ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์หลังถูกจับโป๊ะว่า มันคือกฎหมายที่ออกโดยรัฐบาลทักษิณ เมื่อปี ๒๕๔๕
แถลงการณ์ลิ้นพันระบุว่า
“…การออกกฎกระทรวงในปี ๒๕๔๕ นั้นมีบริบทที่แตกต่างกับปี ๒๕๖๕ เนื่องจากรัฐบาลในปี ๒๕๔๕ ภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทยนั้น เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศในปี ๒๕๔๔ ภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
และประเทศไทยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ตามข้อตกลงที่มีกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ต้องแก้ไขกฎหมายในบางเรื่อง และชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ
แต่การจะออกกฎกระทรวงของรัฐบาลขณะนี้ เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานชี้ชัดถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาลนี้…”
“ทักษิณ” กลายเป็นคนดีชั้นเอกที่หนึ่งขึ้นมาทันที
กฎหมายที่เรียกว่ากฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ แยกเป็นกลุ่มๆ
มีอยู่ ๓ ฉบับ คือกฎหมายที่ดิน กฎหมายการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดให้เป็นทรัพย์สิทธิ์ และกฎหมายอาคารชุด
ใจความโดยรวมคือ ต้องการให้ต่างชาติเป็นเจ้าของที่ดินได้ เช่าที่ดินเป็น ๑๐๐ ปีได้
เป็นเจ้าของอาคารชุดได้ทั้งหมด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์
และสามารถใช้ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่เช่ามา เป็น “ทรัพย์สิทธิ์” ได้ นั่นคือ นำไปจำนองได้ นำไปค้ำประกันได้ ยกให้ผู้อื่นได้ เป็นต้น
ต่อมารัฐบาลทักษิณไปออกเป็นกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข การได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๕
สาระสำคัญคือ
กลุ่มมีสิทธิการถือครอง อยู่ในกลุ่มที่รวย กลุ่มเกษียณอายุ กลุ่มที่ต้องการทำงานในไทย และกลุ่มมีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
ต้องนำเงินมาลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า ๔๐ ล้านบาท
ต้องลงทุนดำเนินกิจการไม่น้อยกว่า ๓ ปี ถึงจะมีสิทธิซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน ๑ ไร่ ห้ามขาย แต่โอนให้ลูกหลานได้ และห้ามลูกหลานขายต่อเช่นกัน
ตั้งแต่มีกฎหมายนี้มาต่างชาติเข้าเกณฑ์ตัวเลขหลักเดียว
ห่างไกลกับคำว่าขายชาติ
ฉะนั้นน่าประหลาดใจเมื่อพรรคเพื่อไทย บอกว่ากฎหมายที่รัฐบาลนี้นำมาต่อยอดเป็นการขายชาติ แต่ในยุคทักษิณกลับบอกว่าต้องทำตามไอเอ็มเอฟ
มีคำถามไปถึงพรรคระบอบทักษิณ
ก่อนการเลือกตั้งปี ๒๕๔๔ ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย หาเสียงโจมตีกฎหมาย ๑๑ ฉบับอย่างรุนแรง แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลทำไมถึงเลือกที่จะเดินตามไอเอ็มเอฟ
ยกตัวอย่างพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นกฎหมายอีกฉบับที่พรรคไทยรักไทย ประกาศว่าไม่เห็นด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าคนในรัฐบาลพรรคไทยรักไทยได้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ไปหลายคน
มีใครอ้างว่ารวยเพราะต้องทำตามไอเอ็มเอฟหรือไม่
ทีนี้มาดูว่า ร่างกฎกระทรวงปี ๒๕๖๕ ที่รัฐบาลนี้ นำกฎกระทรวงในปี ๒๕๔๕ ของรัฐบาลทักษิณมาปรับใหม่เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์โลก
การให้สิทธิคนต่างด้าวถือครองที่ดิน ๑ ไร่นั้น มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องเป็นคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูง ๔ ประเภทที่ได้รับวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ LTR Visa เท่านั้น คือ
๑. กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง คือ มีทรัพย์สินอย่างน้อย ๑ ล้านเหรียญสหรัฐ, มีรายได้ส่วนบุคคลขั้นต่ำ ๘๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐต่อปีในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา และมีการลงทุนในไทยอย่างน้อย ๕๐๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ
๒. กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ คือ มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไปที่รับเงินบำนาญและมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า ๘๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐต่อปี หรือมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า ๔๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐต่อปีและมีการลงทุนในไทยอย่างน้อย ๒๕๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ
๓. กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า ๘๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐต่อปีในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา หรือมีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า ๔๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐต่อปีและจบการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป หรือครอบครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือได้รับเงินทุน Series Aในธุรกิจไม่น้อยกว่า ๑ ล้านเหรียญสหรัฐ, ทำงานในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทที่มีรายได้ไม่น้อยกว่า ๑๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน ๓ ปีที่ผ่านมา และมีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า ๕ ปี
๔. กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ คือ มีรายได้ส่วนบุคคลไม่น้อยกว่า ๘๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐต่อปีในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา, มีสัญญาจ้างทำงานมีทักษะเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และมีประสบการณ์ทำงานไม่น้อยกว่า ๕ ปี
ทั้งนี้กลุ่มต่างด้าวทั้ง ๔ กลุ่มต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และมีกรมธรรม์ประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในประเทศ ไทยไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ
ความต่างของกฎกระทรวงทั้ง ๒ ฉบับ คือของรัฐบาลประยุทธ์ลดเงื่อนเวลาลงมา แต่เพิ่มดีกรีการอนุญาตให้มีความเข้มข้นขึ้น
นี่คือหนึ่งในความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-๑๙
วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากต้มยำกุ้ง กับวิฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-๑๙ อะไรหนักหนาสาหัสกว่ากัน
พรรคเพื่อไทยน่าจะรู้ดี
คำว่าขายชาติ เอาไปหาเสียงได้ครับ แต่ให้ระวัง คนที่มีพฤติกรรมขายชาติจริงๆนั้น ตอนนี้หนีคุกอยู่
แถมไปมีทรัพย์สินในประเทศอื่น เพราะกฎหมายการถือครองที่ดินของคนต่างชาติในโลกนี้ไม่ได้มีเฉพาะที่ไทยประเทศเดียว
เป็นห่วงแต่สามนิ้วที่ออกมาด่าประยุทธ์ขายชาติ เพราะเห็นหลายคนบอกว่าจะย้ายประเทศ
ย้ายไปแล้วต้องซื้อบ้าน ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อตั้งรกราก
หอบเงินไปเลยครับ เพราะเงื่อนไขทางยุโรป อเมริกา กำหนดไว้น้อยกว่าเราอยู่นะ
แต่อย่าไปด่าว่าเขาขายชาติซะหล่ะ