เป็นยังไงบ้างล่ะ ส่งท้ายช่วงปลายปี 2564 ด้วยสถานการณ์ราคาพลังงานพุ่งพรวด
แบบนี้แน่นอนว่าเสียบ่น ๆ ด่า ๆ ของพวกที่ “ไม่เปิดหูเปิดตา”
คงได้แต่พูดว่า… น้ำมันแพงมาก รัฐบาลมัวทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงไม่ดูแลประชาชน
การันตีได้เลยว่าในกลุ่มคนพวกนี้ คงไม่ “ฉลาด” พอ ที่จะเข้าใจกลไกของราคาพลังงานบ้านเราแน่นอน
เพราะถ้าคนที่ได้ศึกษามาบ้าง ติดตามข่าวสาร และสถานการณ์โลกบ้าง ก็จะรู้ได้เลยว่าต้อง “เตรียมทำใจ”
เพราะท่าทีของแนวโน้มราคาพลังงานอาจจะทะยานอย่างต่อเนื่องแน่นอน !
แต่ที่ผ่านมาไอ้รัฐบาลที่มีคนบางกลุ่มเอามาด่าอยู่ตลอด
ก็ปากกัดตีนถีบเพื่อ “ช่วยเหลือประชาชน” กันน่าดู
ไม่รู้ว่ากี่มาตรการเข้ามาดูแลการเป็นอยู่ หรือระบบสาธารณูปโภคทั้งน้ำ ทั้งไฟฟ้า ทั้งราคาน้ำมัน แถมยังดูแลไปยังด้านเชื้อเพลิง และความเป็นอยู่อื่นๆ อีก
ใช้เงินอุดหนุนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในประเทศไปแค่ไหน
แต่ถึงเป็นแบบนี้มันก็คงปิดหูปิดตาเดินหน้าด่ารัฐต่อไป
“ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป” สำนวนไทยแม้จะดูโบราญไปหน่อย แต่ก็ใช้ได้เสมอในทุกยุค !
…ที่ผ่านมามาตรการต่าง ๆ บานปลายไปมาก เพราะราคาพลังงานตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โควิดในบางประเทศสามารถควบคุมได้ หรือมนุษย์เรียนรู้ที่จะอยู่กับไวรัสร้ายตัวนี้ได้แล้ว
ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ ที่มนุษย์เคยทำก็กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในสังคม
แถมในช่วงปลายปีเองหลายประเทศในโซนหนาว ต้องการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น แถมยังมีการกักเก็บเชื้อเพลิงเพื่อใช้ทำความร้อนให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
ก็การกักตุนพวกนี้นี่แหละเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ราคาเชื้อเพลิงพุ่งพรวด !
โดยเฉพาะเชื้อเพลิงที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายอย่างน้ำมัน หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวและก๊าซธรรมชาติ
แล้วเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศที่จะต้องนำเข้าเชื้อเพลิงเหล่านี้
ก็ต้องยอมรับผลของตลาดที่สนับสนุนให้ราคามันแพงขึ้นในช่วงนี้ไปด้วยเช่นกัน
แม้สิบนโยบายรัฐบาลจะออกมาดูแลแค่ไหน ก็ต้องทำใจให้ราคาขยับตามตลาดบ้าง
ไม่งั้นจะยิ่งเกิดผลเสียต่อระบบการดูแลในอนาคตแน่นอน
ยังดีที่ฝั่งรัฐบาลเองไม่ได้ทำงานเพียงตัวคนเดียว
เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ได้ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เข้ามาช่วยเหลือ และดำเนินงานตามนโยบายรัฐ
ทั้งแบกรับต้นทุนพลังงานจากการค้าปลีก
รวมถึงลดค่าการตลาดที่ควรจะได้เพื่อให้ราคาน้ำมันที่ขายให้กับประชาชนไม่เพิ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจ
แถมเมื่อช่วงปีใหมที่ผ่านมาก็ยังได้มอบ “ของขวัญปีใหม่” ให้กับสังคมไทยอีกเพียบ
ไม่ว่าจะเป็นลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ขยายระยะเวลาการคงราคาก๊าซธรรมชาติ (เอ็นจีวี)
และการช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) แก่กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่เป็นผู้มีรายได้น้อยตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
โดยตรึงราคาขายปลีกเอ็นจีวีไว้ที่ 15.59 บาท/กิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2565
ส่วนด้านขยาส่วนลดแอลพีจี ก็อยู่ที่ 100 บาท/คน/เดือน ต่อไป อีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-31 ม.ค. 65 ซึ่งนโยบายนี้เนี้ยก็ทำมาตั้งแต่เดือนต.ค. 2562 โน้นแล้ว
ทุกอย่างมันก็เป็นต้นทุนหมดนั่นแหละ…
ยิ่งกับพวกคนหาเช้ากินค่ำด้วยแล้ว การจะลดต้นทุนอะไรได้บ้างก็ย่อมดีกว่าแน่นอน
แบบนี้ถือว่าเป็นข่าวดีให้กับพ่อค้าแม่ค้าหรือในกลุ่มคมนาคมได้เลย
ส่วน ปตท. ก็ต้อง “ชื่นชม” เขานะ
เพราะรับบทแบกรับภาระมานาน แต่ก็ยังอดทน ยกให้เป็น “รัฐวิสาหกิจดีเด่น” ได้เลย
แบบนี้ก็เลยอยากจะเรียกไอ้พวกกลุ่มที่ยังปิดหูปิดตา มาแหกตาดูสักหน่อย !
ว่าที่ผ่านมาหรือแม้กระทั่งในอนาคตเอง ประชาชนในประเทศยังไงก็ไม่ถูกปล่อยปละละเลยอยู่แล้ว
บางทีก็สงสัยเหมือนกัน ?
ว่าคนพวกนั้นอาจจะได้จนเคยตัว พอจะมีปากมีเสียงก็เลยพูดแต่ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ถ้าให้ดีเอาปากนั้นมาชื่นชมให้กับคนที่เขาเข้ามาช่วยเหลือหรือทำงานอย่างจริงจังบ้าง
จะได้สร้างกำลังใจให้กันต่อไป ไม่ใช่จะสร้างแต่ความเข้าใจผิด หรือสร้างแต่ปัญหาเท่านั้น…