ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
ในรอบหลายเดือน..
วานซืน..เพิ่งได้แวบไปที่โรงหนังเอสเอฟฯ ชั้น 4 ห้างคริสตัล ปาร์ค เลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา ตั้งใจจะไปดู “Fast & Furious 9” กับเขาเสียหน่อย เห็นคุยกันลั่นว่า..
ภาคนี้ หนังมันส์หลุดโลก และต้องดูในโรงภาพยนตร์เท่านั้นถึงจะได้รส-ได้อารมณ์!
แต่ไปถึงดูโปรแกรมแล้ว ต้องนั่งรออีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงรอบฉาย จึงเลยเปลี่ยนใจเดินเข้าช่องซื้อตั๋ว ดู “NO Time To Die” หรือชื่อไทย “007 พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ” เสียเลย
ตอนเดินไปเข้าโรง แม้จะไม่ถึงกับวังเวง แต่ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูเงียบๆ หงอยๆ ผู้คนไม่ได้เดินขวักไขว่เหมือนแต่ก่อน..
จะด้วยเกรงใจโควิด-19 จะด้วยเศรษฐกิจในกระเป๋า หรือจะด้วยความเคยชินกับการดูหนังอยู่ที่บ้าน ก็ยากจะคาดเดา!
เอาเป็นว่า พลาดเห็น “วิน ดีเซล” บู๊ ก็ได้ดู “แดเนียล เครก” แทน ซึ่งก็บู๊ระห่ำไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และบอกเลยว่าไม่ผิดหวังกับหนังแฟรนไชส์สายลับระดับตำนาน..
ที่ภาคนี้ เป็น “เจมส์ บอนด์ 007” ภาค 25 เข้าไปแล้ว!
หรือถ้าจะมีบ้างก็เพียงความรู้สึกไม่คุ้นชินกับฉากจบที่พระเอกตาย เพราะตั้งแต่ดูหนังแอ๊คชั่นฮอลลีวู้ดมา แทบจะไม่มีเรื่องไหน ที่อวสานลงด้วยพระเอก-นางเอกตาย..
อย่างดีก็หายไปตอนท้ายเรื่อง แล้วปล่อยให้คนคิดเดาเอาตามความรู้สึก แต่เจมส์ บอนด์ภาคนี้ เป็นการปิดฉาก-ปิดตำนานของพระเอก “แดเนียล เครก” จริงๆ!
กระนั้น เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม เสียศักดิ์ศรีของ “เจมส์ บอนด์” แทนที่พระเอกจะตายด้วยฝีมือผู้ร้าย ก็ให้เป็นการตายไปพร้อมกับจรวดมิสไซล์ที่ “นายใหญ่” ของเจมส์ บอนด์ ได้สั่งยิง..
เพื่อทำลายล้างโรงงานผลิตนาโนบอต บนเกาะระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซียเสียเลย!
ก็..ไม่ถึงกับเศร้าหรือสะเทือนอารมณ์เหมือนตอน “โกโบริ” ตายในอ้อมแขนของ “อังศุมาลิน” นั่นดอก เพราะฉากนี้แดเนียลได้บอกลากับภรรยาเพียงสั้นๆ ทางโทรศัพท์..
แถมตอนจบทั้งหัวหน้า-เพื่อนร่วมงาน ก็แค่ยกเหล้าซดเพื่อเป็นการไว้อาลัยพอเป็นพิธีเท่านั้น!
ส่วนผมก็เดินออกจากโรงแบบหงอยเหงาโด่เด่ ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาหน้าโรง มองไปรอบๆ พลางคิด..
ธุรกิจโรงหนังจะเป็นอย่างไรหนอ เพราะตั้งแต่มีแอพฯ มีสตรีมมิ่งเข้ามาเป็นทางเลือกในการเสพคอนเทนต์ที่หลากหลาย คนดูหนังโรงก็ดูจะค่อยๆบางตาไปทุกที
นี่..ผมพยายามจะให้เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัว แต่พอนั่งคุยกับพรรคพวกเพื่อนฝูงที่มีรสนิยมในการดูหนังโรงเหมือนกัน ทุกคนก็ไม่ได้แย้งหรือเห็นค้าน..
ซึ่งนั่นเท่ากับสายตาพวกเขาก็มองไม่ต่างไปจากผม และยิ่งได้ฟังคนวงในพูดก็ให้รู้สึกเป็นห่วง (เศรษฐี) ขึ้นมาจับใจ..
ถ้าธุรกิจโรงหนังอยู่ไม่ได้ ผลกระทบก็จะลุกลามไปทั่วทั้งวงการ ผู้สร้าง-ผู้กำกับ-ทีมงานจะไม่เดือดร้อนไปหมดรึนั่น แล้วคน (ชอบ) ดูหนังโรงล่ะจะทำอย่างไร?
เฮ้อ..แล้ว (กู) จะมานั่งคิดทำไมว่ะเนี่ย เอาเข้าจริงเจ้าของโรงหนังอาจจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย นักธุรกิจน่ะเขามีความรู้ ความสามารถ และเฉลียวฉลาด รู้จักปรับกลยุทธอยู่ตลอดเวลา..
เขามองหาลู่ทางสร้างรายได้แหละ..ย.ห.อย่าห่วง!