ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
อุตส่าห์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย..
ขับรถ-เหาะเหินฝ่ากระสุน-ระเบิดจนใกล้จะถึงจุดหมายอยู่รอมร่อ จู่ๆ “นายใหญ่” เกิดเปลี่ยนใจ สั่งเบรก-ให้เลี้ยวรถกลับแบบกะทันหันซะงั้น!
เนี่ย..ต่อให้เป็น “ขี้ข้า-ม้าใช้ (แก่)” ก็คงอดไม่ได้ที่จะโพล่งสบถ..“เป็นเหี้..-ห่าอะไรของมันวะ ตกลงมึงจะชน หรือมึงจะกราบ”?
นั่นสิ..เป็นผมนอกจากสงสัยแล้ว เห็นจะต้องย้อนเอาด้วยว่า.. “กลับไปถามเมียของนายเสียก่อน ถามดูให้แน่นอน ว่าหล่อนจะเอาด้วยไหม”?
คือ..เมื่อ “เมียเป็นใหญ่” ก็ต้องถาม-ต้องปรึกษาหารือกันให้ตกผลึกเสียก่อน ก่อนที่ “นาย” จะสั่งให้ “ขี้ข้า(แก่)” สวมบท Fast & Furious..เร็ว-แรงทะลุนรกอย่างนั้น!
แล้วนี่จะเอาไง..เดินหน้าเมียก็ด่า ถอยหลังหมาก็เห่า หยุดกับที่กองหนุนก็เยาะเย้ยหยัน สงสัยป่านนี้คงนั่งเหม่อ-คิดในใจ..
ไม่น่าผลุนผลันพลันแล่นไปกับคำสอพลอ-แรงยุของพวกคอมมิวนิสต์ผุๆ รอบๆ ตัวเลยกู!
เออ..พูดถึงคอมมิวนิสต์ ตอนนี้ดูเหมือนไทยรัฐทีวี ช่อง 32 จะนำละครเรื่อง “ไผ่แดง” กลับมารีรันอีกครั้ง ซึ่งก็ถือเป็นละครที่น่าดู-น่าติดตาม
หรือถ้าจะพูดว่าเป็น “ละครน้ำดี” ก็น่าจะไม่ใช่เป็นการยกยอที่เกินจริง!
จากที่อ่าน “คำตาม” ซึ่งไม่ใช่ “คำนำ” ที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เจ้าของวรรณกรรมเรื่องนี้เขียนไว้.. “เรื่อง “ไผ่แดง” นี้ ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเพื่อพยายามชี้ให้เห็นปฏิกิริยาในใจคนบางหมู่บางเหล่า
เมื่อมีลัทธิใหม่ของใหม่มากระทบ ผลที่เกิดขึ้นก็คือความขัดกันระหว่างลัทธิ หรือความแตกต่างระหว่างจิตกับวัตถุ
ลัทธิไหนจะผิดหรือถูก และผู้เขียนเรื่องนี้จะผิดหรือถูก ขอยกไว้เป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่านจะวินิจฉัย..”
ครับ..ใครจะวินิจฉัยอย่างไรก็ว่าไป สำหรับผมทั้งที่อ่านหนังสือทั้งดูหนังดูละครมา ขอสารภาพเสียตรงนี้ว่า..
รู้สึกสนุก-เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไผ่แดง ที่มี “สหายแกว่น” กับ “สมภารกร่าง” และ “กำนันเจิม” เป็นตัวละครนำ แบบอ่านกี่ครั้ง-ดูกี่ทีก็ไม่เบื่อ!
และหากจะมีใครอ่านแล้ว-ดูแล้วคาใจ-สงสัยที่พลวงพ่อพระประธานในโบสถ์พูดกับสมภารกร่าง อาจารย์คึกฤทธิ์ก็ได้อธิบายใน “คำตาม” เอาไว้ดังนี้..
“ธรรมดาคนเราที่บวชเรียนอยู่ในสมณเพศนั้น มักจะปรากฏว่ามีตนเกิดขึ้นสองตน คือตนหนึ่งเป็นตนแห่งโลก ที่สมภารกร่างมักจะแสดงให้ประจักษ์แก่คนทั้งหลาย
อีกตนหนึ่งนั้นคือตัวเองในฐานะที่เป็นสมณะอยู่ห่างจากโลก ตนทั้งสองนี้มักจะพูดจาทักถามกันอยู่เสมอ แต่ตนที่เป็นสมณะนั้นย่อมจะมีเสียงเหนือกว่าตนที่ยังหมกมุ่นอยู่ในโลกเสมอไป
ถ้าหากว่าคนผู้เป็นเจ้าของตนทั้งสองนั้นยังมีเจตนาแน่วแน่ที่จะอยู่ในสมณเพศ
การแยกตนออกเป็นสองนี้บางคนอาจไม่รู้ แต่ถ้าอยู่ในที่สงัดก็อาจได้ยินข้อถกเถียง หรือพูดจาระหว่างความรู้สึกผิดชอบฝ่ายหนึ่ง และความหมกมุ่นในโลกอันเต็มไปด้วยกิเลสอีกฝ่ายหนึ่ง
สมภารกร่างก็ได้ยินเสียงของตนเองที่เป็นพระแท้ดังมาจากพระประธาน ส่วนเสียงของตนที่ยังอยู่ในโลกก็ดังออกมาจากปากตัวเอง
และด้วยเหตุนี้การเจรจาระหว่างพระประธานกับสมภารกร่าง จึงไม่ได้มีคนอื่นล่วงรู้หรือได้ยินเลย”
ครับ..ก็คงจะเข้าใจกันแล้วตามนี้ และถ้าเผื่อจะมีพส.หรือฆราวาสท่านไหนจะเอาอย่างสมภารกร่าง..
นั่งคุยกับพระประธานเสียบ้าง จิตใจจะได้สงบ-สว่างขึ้นนะ!