ผักกาดหอม
ควันหลง ม็อบ ๗ สิงหาคม
มีประเด็นละเอียดอ่อนอย่างมากคือ การเขียนข้อความทับ แผ่นจารึกรายนามของ ทหาร ตำรวจและพลเรือน ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่เสียชีวิตจากการปกป้องแผ่นดินไทยในสมรภูมิต่างๆ
มันสะท้อนม็อบสามนิ้ว ไร้รากจริงๆ
แยกแยะไม่ออกว่าอะไรควรไม่ควร
แต่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นระดับหนึ่งว่า ม็อบสามนิ้ว คือม็อบเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย หรือม็อบเอามัน แค่อันธพาลทุบทำลายข้าวของกันแน่
คนรุ่นใหม่ขาดความยั้งคิด จะด้วยความโง่เขลา หรือไม่ยอมรับรู้ใดๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่กระทำลงไป มันกระทบถึงจิตใจคนรุ่นก่อน เกิดการแบ่งแยกนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเรา
ประเทศไทยเดินมาอย่างนี้สักพักใหญ่แล้วครับ
และกำลังพัฒนาความขัดแย้งไปเรื่อยๆ อย่างไม่เห็นจุดสิ้นสุด
บรรดาแกนนำ แกนนอน อาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่สนับสนุนม็อบสามนิ้ว ต่างปิดปากเงียบไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
เรื่องนี้ไม่ได้เกิดเพราะม็อบวัยรุ่นคิดมาจากบ้านว่า วันนี้จะต้องไปเขียนข้อความทับแผ่นจารึกให้ได้ แต่มันมาจากการปลุกเร้าการชุมนุมโดยอีแอบที่อยู่เบื้องหลัง บวกกับความโง่เขลาขาดการแยกแยะ
คนปลุกม็อบมีเจตนาให้เกิดความรุนแรง โดยอาศัยภาวะไร้การควบคุม เพราะไม่มีแกนนำในพื้นที่ ซึ่งเกิดกรณีเช่นนี้ซ้ำๆ มาหลายครั้งแล้ว
เห็นดัดจริตกันเยอะ ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา ยิงใส่ม็อบตลอดเวลา
ที่ฝรั่งเศส ประท้วงไม่ยอมฉีดวัคซีน ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ม็อบเป็นพลุมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนเดือนนี้ ก็ยังยิงไม่จบไม่สิ้น
ปะทะกันเจ็บทั้งสองฝ่าย
ทำไมตำรวจฝรั่งเศสต้องทำแบบนั้นด้วย เป็นประเทศเจริญแล้วไม่ใช่หรือ?
ฉะนั้นต้องเข้าใจกันเสียใหม่
กรุงเทพฯ อยู่ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ห้ามไม่ให้ชุมนุมเกิน ๕ คน เพื่อหยุดยั้งการระบาดของโควิด-๑๙
ชุมนุมวันเกิด
ชุมนุมปาร์ตี้
ชุมนุมการพนัน
ชุมนุมไล่รัฐบาล
ชุมนุมโค่นล้มสถาบันฯ
ถามว่า โควิดแยกแยะออกหรือไม่
โควิดสนับสนุนม็อบไล่รัฐบาลหรือเปล่า
เห็นข่าวแล้วไม่ใช่หรือ ปาร์ตี้ติดโควิดไปแล้วกี่ราย
การห้ามการชุมนุมจึงมีเหตุผลที่อธิบายได้ ทุกคนรู้กฎหมายและควรปฏิบัติตามน้้น
แต่ก็มีการปลุกระดมว่า สู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ต้องกลัวโควิด แล้วไปสร้างวีรกรรมลบหลู่ผู้อื่น
คนรุ่นใหม่หลงลืมไปว่าประเทศที่ตัวเองยืนอยู่นี้มาจากบรรพบุรุษ แลกมาด้วยเลือด และชีวิต
วานนี้ (๙ สิงหาคม) พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวประณาม
“การกระทำดังกล่าว ถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งและเกินขอบเขตของการชุมนุม ที่เข้าไปก้าวล่วงลบหลู่ต่อสถานที่บรรจุอัฐิและรายนามของผู้เสียสละชีวิตที่ร่วมปกป้องแผ่นดินไทยทั้ง ๘๐๑ นาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๔๘๕ เพื่อเทิดทูนวีรกรรมของผู้เสียสละ ซึ่งมีคุณค่าทางด้านจิตใจของประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะครอบครัวของผู้เสียชีวิตและความรู้สึกของอดีตทหารผ่านศึกอีกจำนวนมาก ที่เสียชีวิต บาดเจ็บพิการและทุพพลภาพ ซึ่งก็เชื่อว่าประชาชนไทย ก็ไม่สามารถยอมรับได้กับพฤติกรรมดังกล่าว”
บางคนอาจคิดว่าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิคืออนุสาวรีย์ยกย่องเฉพาะทหาร ตำรวจ
ไม่ใช่ครับ
มีวีรชนพลเรือนอยู่ในนั้นด้วย
“อนุสาวรีย์สำคัญนี้ นอกจากจะเป็นเครื่องยังความระลึกในเกียรติประวัติของวีรชน คนไทยแล้ว ยังเป็นเครื่องกล่อมเกลาเร้าใจให้อนุชนคนไทยรุ่นหลังมีมานะมั่นบากบั่น อดทน ปลุกใจให้กล้าหาญ ไม่กลัวตาย ในการกู้เกียรติของชาติ ทั้งปลูกความรักชาติให้เกิดอย่างสมบูรณ์ พี่น้องร่วมชาติทุกคน เมื่อได้ผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจะต้องระลึกถึงคุณธรรมเหล่านี้”
นี่คือสุนทรพจน์ ตอนหนึ่งในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม
เบื้องแรกของอนุสาวรีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ชนชาวไทยทั้งในยุคนั้นและยุคต่อๆ มา ได้จดจำเหตุการณ์แห่งการสร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้
ซึ่งก็คือสงครามอินโดจีน
ทั้งยังต้องการให้ชนชาวไทยรุ่นหลัง มีความภูมิใจในบรรพบุรุษของตนที่กล้าหาญในการต่อสู้เพื่อการปกปักรักษาแผ่นดินของประเทศเอาไว้
อนุสาวรีย์แห่งนี้ยังแสดงถึงแสนยานุภาพของประเทศไทยที่สามารถรบชนะประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกอย่างประเทศฝรั่งเศสได้
ซึ่งแสดงให้เห็นความยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่สามารถเรียกร้องดินแดนบางส่วนในอินโดจีนคืนกลับมาได้ โดยดินแดนดังกล่าว ได้แก่ หลวงพระบางฝั่งขวา จำปาศักดิ์ ศรีโสภณ และพระตะบอง
สิ่งที่บรรพบุรุษในอดีตสร้างไว้ มันเกินกว่าที่ใครในยุคนี้จะไปลบหลู่
แล้วสิ่งที่ลูกหลานสามนิ้วทำวันนี้คืออะไร
มันไม่ใช่เรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์
แต่เกิดจากการปลุกระดม เสี้ยมสอนให้ละทิ้งรากเหง้าของตนเอง
คนที่พูดถึงลูกหลานอกตัญญูได้ดีที่สุดคือ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ”
“…ประเทศนี้ผิดพลาดแล้วจริงๆ ที่เราผลิตลูกหลานให้ทรยศต่อบรรพบุรุษ
เราผิดพลาดแล้วจริงๆ ที่ผลิตเขาขึ้นมาให้ใช้ ๒ ตีน เหยียบย่ำซากศพของบรรพบุรุษผู้สละชีวิตเพื่อแผ่นดิน บรรพบุรุษทั้งหลาย!! ดวงวิญญาณของท่านจงอย่าร่ำไห้ที่ลูกหลานบางคนเนรคุณ ยังมีลูกหลานไทยพร้อมจะรับทอดภารกิจรักษาบ้านเมืองนี้
เชื่อเถอะครับ ท่านตายอย่างมีเกียรติสูงสุด พวกเราจะสืบทอดรักษาบ้านเมืองนี้ไว้ให้ลูกหลานเหมือนที่ท่านเคยกระทำมาแล้ว
ผมเสียใจที่เราผิดพลาดแล้วด้วยการผลิตลูกหลานเนรคุณแบบนี้ออกมา ขอดวงวิญญาณบรรพบุรุษจงอย่าร่ำไห้ และโปรดได้รับการขอขมาจากผม…”
นัยแห่งการรวมดาบปลายปืนทั้ง ๕ เล่มจากข้าราชการกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ตำรวจ และพลเรือน เป็นสื่อที่แสดงถึงความสามัคคีของชาวไทยในการร่วมมือกันป้องกันประเทศ
ประติมากรรมทั้ง ๕ ที่เป็นตัวแทนของทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน ที่ยืนรอบฐานของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เสมือนเป็นตัวแทนของคนทุกกลุ่มที่คอยช่วยกันตรวจตราดูแลประเทศในทุกทิศทุกทาง เพื่อช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากการคุกคามของศัตรู
ปลายยอดแหลมของดาบปลายปืนที่พุ่งทะยานเสียดฟ้า หมายถึงความภาคภูมิใจของคนในชาติ ที่ได้รับชัยชนะเหนือศัตรู
ทั้งหมดสะท้อนถึงความเป็นหนึ่งเดียว
แต่ลูกหลานวันนี้มันเนรคุณ.