ผสมโรง
สันต์ สะตอแมน
เตียงเต็มแล้วจ้า!
เนี่ย..ถ้าเป็นร้านสปา หรือร้านนวดแผนโบราณ เจ้าของคงดีใจ-กระโดดตัวลอย แต่เมื่อเป็นเสียงมาจากคุณหมอ-นายแพทย์ใหญ่..
ทุกคนก็ได้แต่ห่อเหี่ยวใจ พลางยกมือท่วมหัวภาวนา ขออย่าได้ติดโควิด-19 เลยเจ้าประคู้นนน!
ครับ..ก็เห็นจะต้องสวดมนต์-ภาวนากันจริงๆ แล้วล่ะ เพราะเท่าที่ดู-ติดตามข่าว มีการพบ “คลัสเตอร์ใหม่” ไม่เว้นวัน
ซึ่งก็แสดงว่า คนไม่ได้กลัวโควิด-19 แต่กลัว “อดตาย” จริงๆด้วยแหละ!
และการที่แต่ละคนคิดถึงปากท้อง-ธุรกิจของตัวเองเป็นสำคัญ ก็ใช่จะโทษหรือตำหนิได้ เพราะหลักสิทธิและเสรีภาพ..
“มนุษย์จะไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใคร เป็นอำนาจที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือจะไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด”ไงล่ะ?
ฉะนั้น..ใครใคร่ค้าๆ ใครใคร่ขายๆ แรงงานไม่พอก็ล่อก็หากันเข้ามา ติดเชื้อ-เกิดคลัสเตอร์ก็ส่งให้หมอ-ให้รัฐบาลแบกรับกันไป และถ้า “เตียงเต็ม” ทำให้ลำบาก-ขัดใจ ก็ด่า-ด่า-ด่า..
ประชาธิปไตย มันดีอย่างนี้เอง!
เอ้า..นี่ไม่เกี่ยวกับสิทธิ-เสรีภาพ และควรแล้วที่จะถูกตั้งคำถามถึงจรรยาบรรณ-ความเหมาะสม เพราะการโทรศัพท์สัมภาษณ์ “คนร้าย” ที่กราดยิงคนตายของสถานีโทรทัศน์บางช่องนั้น
ดูจะเป็นการกระทำที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ประโยชน์ทางธุรกิจจนล้นกรอบ “จรรยาบรรณ” มากเกินไปจริงๆ
ใช่.. “สาเหตุการก่อเหตุอุกอาจ” ใครก็กระหาย-อยากรู้-อยากถาม และสื่อเองก็มีสิทธิที่จะถามได้อย่างเปิดเผย ตรงไป-ตรงมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า..
จะถาม-ตอบกันสดๆ หน้าจอโทรทัศน์ เสมือนหนึ่งเป็นรายการเรียลลิตี้!
เพราะทุกคำพูดมันเกี่ยวข้องกับรูปคดี และจากที่พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้พูดด้วยความสุภาพ..
“ขอความร่วมมือสื่อมวลชนอย่ากระทำการใดๆ ที่ผิดต่อหลักจรรยาบรรณ ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์สดการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่เกิดเหตุ การต่อสายสัมภาษณ์คนร้าย
เพราะจะทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น และจะส่งผลกระทบในทางคดีภายหลังได้
รวมทั้งขอให้เหตุการณ์เทอร์มินอล 21 โคราช เป็นบทเรียนให้สื่อทุกสำนักปฏิบัติหน้าที่ตามกรอบของกฎหมาย”
ก็..นับเป็นอีกครั้ง ที่สื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ ติติง และได้รับการอบรม สั่งสอน แนะนำ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้จด-ได้จำ ไม่ได้สำเหนียก-สำนึก..
น่าอายจริง!