เปลว สีเงิน
ร้อนอย่างนี้ มีวิธีรับมืออย่างไรกันบ้างล่ะครับ?
สำหรับผม
เตรียมสำรวจเรืออีแปะที่ขึ้นคานไว้เมื่อ ๑๐ ปีก่อนแต่เนิ่นๆ เพราะสังหรณ์ยังไงไม่รู้
ว่าปีนี้ “มวลน้ำก้อนใหญ่” แบบปี ๒๕๕๔ น่าจะมา!
เดือนหน้า “กรกฏา” ก็ครบรอบ ๑๐ ปี
ยุคนั้น เป็นยุคยิ่งลักษณ์บริหาร “น้องน้ำ” จากทางเหนือทะลักลงมา บล็อกกันไป-กันมา ผ่าไข่แดง “ท่วมกรุง” ซะเลย
ออกจากบ้าน ก็ต้องพายเรือจากซอย ไปขึ้นรถที่ถนนใหญ่ ขากลับบ้าน ก็ต้องรอเรือมารับ ล่องกลับไปตามซอย
เป็นผู้ชายพายเรืออยู่เป็นเดือนๆ….
กว่าน้องน้ำจะขลุกขลิกพอให้รถวิ่งได้ ถึงได้อัญเชิญเรือไปขึ้นคานแทน
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรือของผม
พรรคพวกเขาซื้อมา ๖ พัน เห็นผมติดเกาะ เลยเอามาให้ใช้ ตอนเอามาไม่ยาก ไหลตามน้ำมา
แต่พอน้ำลด จะคืนเขานี่ซี มันไหลไปเหมือนตอนไหลมาไม่ได้ ก็เลยคาคานทอง ทึกทักเป็นเจ้าของอยู่ถึงทุกวันนี้
๑๐ ปีผ่านไป….
เจ้าของอมตวาจา “เอาอยู่ค่ะ” เห็นโผล่หน้าคลับเห่ากับพี่ชายวันก่อน ยังเด้งอยู่เลย
แต่เรือผม ไม่เด้ง มันเป็นไฟเบอร์กลาส ๑๐ ปี “เอาไม่อยู่” กรอบซะแล้ว
ห่วงกันนะ ถึงได้บอก จะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ส่วนท่วม-ไม่ท่วม เป็นอีกเรื่อง ไม่ประมาทไว้ก่อน ดีที่สุด
ถ้าน้ำมารอบนี้ ไม่มาแค่น้ำ
แต่จะมาทั้งพายุ คือลม และดิน คือการพังถล่ม!
แล้ว “ไฟ” ล่ะ มามั้ย?
ไม่มาหรอก เพราะ “เฒ่าชาญวิทย์” เขาบอกว่า “หมดไฟ” แล้ว
ไม่เชื่อก็อ่านที่เขาโพสต์เมื่อวานดูซี (๘ มิย.๖๔)
สังคมหมดไฟ ปฏิวัติไม่ได้
สังคมที่ถูกทำให้เซ็ง แล้วปกครอง bore and rule ก้อไม่ ได้ปฏิวัติ
ความเบื่อหน่าย ท้อแท้ ทำให้ชีวิตหมดพลัง หมดสิ้นการแสวงหา ครับ
แหม…
อ่านแล้วอยากยกให้เป็น “คาลิล ยิบราน” ในดงสามสัสแต่…อย่าเลย
เพราะ “ชาญวิทย์” นี่ ถ้าไม่เอาคราบอดีต “อธิการบดีธรรมศาสตร์” มาต่อสร้อย-ต่อหาง
ก็ “เฒ่าหลงทาง” ดีๆ นี่เอง!
แอบจิตจนเลอะเลือน เพ้อเจ้อ เกษมโมหะไปวันๆ
“หมดไฟ, เซ็ง, เบื่อหน่าย, ท้อแท้, หมดพลัง, หมดสิ้นการแสวงหา”
ก็เข้าใจะ ถ้าผมเป็นชาญวิทย์ อกหักก็คงต้องเพ้อแบบนี้ อุตส่าห์หมายมั่นว่าศิษย์กูปั้นได้เป็นนายกฯ คนรุ่นใหม่แหงๆ
ดันคว่ำคะมำทับตีนตัวเองซะนี่
ครั้นลงถนน ก็ออกทั้งหน้า-ทั้งตัว เป่าตูดเด็กให้เหิมล้มเจ้า เปิดประตูได้บาน หลงดีใจว่า ศิษย์กูล้มได้สำเร็จแน่
แต่ก็ถูกประตูทับ ชักแด่กๆ ไปอีก
แถมลูกหลานชาวบ้านในคราบนักศึกษาที่หลอกมาใช้ ซ่าได้พักเดียว ก็ต้องชักแถวเข้าไปเหี่ยวปลายในคุก
มันก็ “น่าเซ็ง-น่าท้อแท้” อยู่หรอกนะ ชาญวิทย์
แต่ “หมดไฟ-หมดพลัง” ไม่เป็นไร….
แนะให้ไปเสียบปลั๊กชาร์ตไฟกับปวิณที่ญี่ปุ่นโน่น พักเดียว เดี๋ยวแบตก็เต็ม เต็มแล้วค่อยกลับมาเป็นไฟแสวงหา
ชู ๓ นิ้ว “ลงถนน” นำหน้าเองเลย
นำธนาธร-ปิยบุตรและพวกจาน-พวกนักศึกษาที่เหมือนแมงเม่าหลงนีออน “ปฏิวัติ” ไปเลย!
ปฏิวัติอะไรของชาญวิทย์ ผมก็ไม่เข้าใจในความคลุมเครือแห่งจิตเฒ่าเขาเหมือนกัน
ปฎิวัติแบบ เอาประยุทธ์คืนไป เอาทักษิณกลับมา
หรือ…
ถึงขั้น ล้มสถาบัน เปลี่ยนประเทศเป็นสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีแทนพระมหากษัตริย์?
คราวหลังจะครางครวญอะไรอีก เอาให้ชัดๆ นะ เขาจะได้ลงข้อหาในหมายถูก
แต่ตามโพสต์นี่ พอจับอารมณ์ได้ว่า ขบวนการล้มเจ้าของแก๊งสามสัส มันจบแล้วนาย
นอกจาก “น็อกประยุทธ์” ไม่ได้แล้ว ตัวเองกลับเป็นฝ่ายเละคาตีน ไม่งั้น เฒ่าสารพัดพิษ ไม่เพ้อให้เสียรังวัดอย่างนี้หรอก
ไม่ใช่เละแค่ในถนน ในสภาก็เละด้วย!
แต่ยังให้เครดิตว่า แค่ “จบภาค” ยังไม่จบแบบปิดฝาโลง ตอกตะปู คงฮึดภาค ๒ เป็นผีดิบคะนองน้ำเหลืองอีก
อันที่จริง วันนี้ ไม่รู้จะคุยอะไร ก็เลยคุ้ยขยะมาขยำ ในเมื่อ “๓ นิ้วตัวพ่อ” สารภาพ ท้อแท้ หมดพลัง ในการล้มบิ๊กตู่
แล้ว ๒๔ มิถุนา.ที่จะถึง
งานเป่าตูดคณะราฎรไม่กร่อยแย่หรือ?
ทางที่ดี ๒๔ มิถุนา.ชาญวิทย์น่าจะลาบวชซะเลย จะได้ไม่เสียคนตอนแก่หนักกว่านี้
ความจริง ตอนนี้ ชาวบ้าน-ชาวเมือง กำลังหายเซ็ง มีความหวัง มีพลัง เห็นอนาคตสดใส เมื่อรัฐบาลปูพรมฉีดวัคซีนเป็นจริง-เป็นจัง
ตั้งแต่ ๗ มิถุนา.
นายกฯ พูดเป็นมั่น-เป็นเหมาะ ๒-๓ วันติดต่อมาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่า ปูพรมแค่วัน-สองวัน แล้วเก็บพรม
ฉีดต่อเนื่องไปตลอด ยันธันวา.เกิดภูมิต้านทานหมู่ทั่วหล้าจนฟ้าสว่างโน่นเลย
ตอนนี้ ทยอยฉีดไปเรื่อยๆ วัคซีนที่สั่ง ก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เป็นระยะๆ เดือนนี้ เหมือนก๋วยเตี๋ยวชามแรก จะบ่นกันบ้าง ได้ช้า-ได้เร็ว เพราะหิว
แต่พอเข้าเดือนกรกฏา.ทีนี้แหละ วัคซีนลำเลียงเข้ามาเป็นล็อตๆไม่ขาดสาย ทั้งแอสตร้า เซนเนก้า ซิโนแวค แล้วยังไฟเซอร์ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ที่นายกฯ สั่งเพิ่มเข้ามาอีก
เป็น ๑๐๐ กว่าล้านโดส ทีนี้แหละ ได้ฉีดกันอิ่มแทนข้าวไปเลย!
นายกฯ ดูท่านเหนื่อยมาก เป็นเหนื่อยบ่งบอกถึงความมุ่งมั่น ในการที่จะทำให้ทุกคนได้ฉีด
ท่านเอ่ยคำ “ขอโทษ..ขออภัย” พี่น้องประชาชนทุกวัน ในฐานที่ท่านทำให้ทุกคน “ได้อย่างใจ” ในทันที-ทันใดไม่ได้
แต่เท่าที่ดูๆ ฟังๆ คนที่ไปฉีด ต่างพอใจและชื่นชมความตั้งใจทำงานของนายกฯ ของแพทย์-พยาบาล-บุคลากรทางการแพทย์มากนะ
เรียกว่า งานนี้ “คุ้มเหนื่อย” จริงๆ!
การปูพรม ทำให้ “ภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม” รวมถึงภาคประชาชน มีพลัง มีความหวัง มองเห็นอนาคต หายเซ็ง หายท้อแท้
ยกเว้น “ชาญวิทย์” คนเดียว
ถ้าปูพรมฉีดต่อเนื่องวันละ ๓-๔ แสนคนอย่างนี้ ไม่ต้องถึงธันวา.หรอก แค่สิงหา-กันยา.ก็เชิดสิงโตได้แล้ว
เพราะ “ภูมิต้านทานหมู่” เข้ามาแทนที่ “อุปาทานหมู่” แน่!
งานใหญ่ เหมือนเลี้ยงพระทั้งวัด จะประเคนพร้อมกันพรึ่บเดียวครบทุกองค์คงไม่ได้ แต่ยังไงๆ ก็ได้ฉันเวลาเดียวกันทุกองค์
พวกเราชาวบ้าน สมมติว่าเป็นพระ รัฐบาลและมดหมอเป็นผู้ประเคน เรา…เมื่อได้ฉัน-ได้ฉีดแล้ว
อย่าลืม “ชยันโต” ให้ญาติโยมเขาละกัน.