ผักกาดหอม
ขยันดีนะ….ฝ่ายค้านชุดนี้
เคาะกะลากันรายวัน จะแก้รัฐธรรมนูญ จะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
งานเต็มมือ!
เรื่องหาวิธีชำเรารัฐธรรมนูญพูดกันไปเยอะแล้ว มาที่เรื่องซักฟอกรัฐบาลดูบ้าง
ตามสถิติแล้วน่าจะเป็นฝ่ายค้านชุดแรก ที่กระเหี้ยนกระหือรือจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในเวลาอันรวดเร็วที่สุด
รัฐบาลประยุทธ์บริหารประเทศมาได้ไม่ถึง ๔ เดือนดี ทำท่าจะโดนซะแล้ว
งั้นลองเทียบดู
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้าบริหารประเทศในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔
ฝ่ายค้านโดยพรรคประชาธิปัตย์ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕
ปล่อยให้บริหารประเทศปีกว่า ถึงจะเปิดซักฟอก
ถัดจากนั้นอีก ๑ ปีเต็ม
ถึงจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจอีกครั้ง
โดยเงื่อนเวลา มันสมน้ำสมเนื้อ
พูดได้ว่าสมควรแก่เวลา
แต่พรรคเพื่อไทยคงอาจจะคิดว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โกงมากกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ จึงไม่สามารถปล่อยให้บริหารประเทศอีกต่อไปได้
ก็น่าสนใจดี
งบประมาณปี ๖๓ ยังไม่ออก กว่าจะได้ใช้…..ก็…..โน้นต้นปีหน้า
กว่าจะไหลลงท่อ ปาเข้าไปกุมภา-มีนา
ถ้าจะบอกว่ารัฐบาลประยุทธ์ โกงกินงบประมาณ ก็คงได้หางงบฯ ปี ๖๒ มา
ไม่ใช่หัวกะทิงบฯ ปี ๖๓
ฉะนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เน้นประเด็นคอร์รัปชันจากการบริหารประเทศมาไม่ถึง ๔ เดือน จึงเป็นเรื่องแปลกใหม่จริงๆ
เพราะถ้ามีโกงจริง ก็น่าจะเร็วสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
คือเข้ามาก็โกงเลย ไม่ต้องไหว้ครูให้เมื่อย
ส่วนมีโกงจริงหรือไม่ วันนี้ตอบได้ว่าไม่รู้
ไม่กล้าการันตี!
แต่ฝ่ายค้านโดยเฉพาะเพื่อไทย นั่งคุยเรื่องซักฟอกกันทุกวัน
สรุปรวบรัดตามที่ “สุทิน คลังแสง” ให้ข่าวก็มีตามนี้
“….พรรคได้ข้อมูลจากชาวบ้านที่ส่งมาให้เยอะมาก เป็นทั้งเบาะแส ข้อมูล หลักฐาน ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี การอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้จะทำกันอย่างมีส่วนร่วมทั้งในส่วนของสภาและประชาชน
การอภิปรายครั้งนี้จะอภิปรายภายใต้คำจำกัดความของความไม่ไว้วางใจ ที่จะแบ่งเป็นกลุ่มความผิด
เช่น กลุ่มทุจริต
กลุ่มไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ
กลุ่มความไม่เหมาะสม
กลุ่มการละเมิดกฎหมายจนเป็นนิสัย
กลุ่มการทำลายโอกาสประเทศ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้
ที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า ฝ่ายค้านอภิปรายเร็วไป ซึ่งต้องบอกว่า ถ้าทำให้บ้านเมืองเสียหาย วันเดียวก็ปล่อยไม่ได้ เราจึงต้องยื่นอภิปราย ส่วนบุคคลที่จะอภิปราย ขณะนี้ยังเปิดเผยไม่ได้”
ครับ…ก็เท่ดี แบ่งตามกลุ่ม ถือเป็นมิติใหม่ในการซักฟอก
แต่…กว่าจะเคาะว่าอภิปรายใครบ้าง น่าจะใช้เวลาอีกหลายวัน
ช่วงนี้อยากให้พรรคเพื่อไทยมองย้อนกลับไปในอดีต กับการซักฟอกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อนว่า ประเทศไทยผ่านรัฐบาลขี้โกงมาได้อย่างไร
ประเด็นที่ยิ่งลักษณ์ถูกอภิปรายปี ๒๕๕๕ มีดังนี้
๑.โครงการรับจำนำข้าว ที่มีปมเงื่อนที่อาจนำไปสู่การทุจริต การอ้างว่ามีการส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ที่ยังไม่มีปริมาณที่แน่นอน ปมการสวมสิทธิ์ข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน การเวียนเทียนข้าว และการออกใบประทวนในการจำนำข้าว
๒.ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะราคายางพารา ปาล์ม มะพร้าว โดยเฉพาะนโยบายที่รัฐบาลทุ่มเงินในการพยุงราคายางพารา ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท
๓.การทุจริตการใช้งบน้ำท่วม ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท หลีกเลี่ยงการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอี-ออคชัน ปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาทล่าช้า ที่ฝ่ายค้านพยายามเรียกข้อมูลเอกสารผ่านกลไกคณะกรรมาธิการต่างๆ มาตลอด
๔.การดำเนินนโยบายต่างประเทศของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ ที่ออกหนังสือเดินทางให้แก่ ทักษิณ ชินวัตร
๕.ความล้มเหลวในการ บริหารงานในสถานการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
๖.การบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพจนกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ตัวเลขการส่งออกที่ตกต่ำ หนี้สาธารณะที่สูงขึ้น เทคนิคการใช้เงินนอกงบประมาณ ๒ ล้านล้าน
๗.การไม่กำกับให้กระบวนการยุติธรรม ติดตามตัว ทักษิณ กลับมาดำเนินคดี
ส่วนการ อภิปรายปี ๒๕๕๖ มีประเด็น
๑.การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นได้จากการทุจริตโครงการน้ำ โดยนำความเดือดร้อนประชาชนมาบังหน้า แล้วก็ออก พ.ร.บ.น้ำ มูลค่า ๓.๕ แสนล้านบาท ใช้วิธีระบบจัดซื้อพิสดาร อ้างว่าเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน แต่ตัวโครงการต่างๆ กลับทำไม่เสร็จ สุดท้ายศาลปกครองก็ชี้ว่าผิดกฎหมาย และไม่สามารถกู้เงินได้ทันตามที่กำหนด
๒.นโยบายเอื้อต่อการทุจริต ได้แก่ จำนำข้าว เป็นโครงการที่ฝ่ายค้านท้วงมาแต่แรกว่าเป็นการสร้างความเสียหาย เอาเกษตรกรบังหน้า ทุจริตครบวงจร ตอนนี้ขาดทุนกว่า ๔ แสนล้านบาท ส่วนการทุจริตก็คือ เงินไม่ถึงชาวนาอย่างแท้จริง และขั้นตอนการระบายข้าวที่ยังไม่ชัดเจน
๓.ออก พ.ร.บ.กู้เงิน ๒.๒ ล้านล้านบาท มาทำโครงการคมนาคม อ้างว่าจำเป็น มิเช่นนั้นไม่สามารถลงทุนได้ ซึ่งความจริงคือ รัฐบาลพยายามเลี่ยงการตรวจสอบอยู่นั่นเอง แถมการกดบัตรแทนกันก็ถือว่าเป็นการทุจริตยกระบบ
๔.ทำลายการตรวจสอบการทุจริต ต้องไปพิสูจน์กันที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งมีการโยกย้ายบุคคลที่ตรวจสอบทางวินัยของผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล
๕.การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ทุจริต แต่ที่อยากบอกประชาชนคือ ไม่ได้เป็นกฎหมายฉบับเดียวเท่านั้นที่รัฐบาลจะออก เพราะมีการออกกฎหมายเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจด้วย ซึ่งแก้กฎหมายให้คนที่ถูกศาลจำคุก แต่รอลงอาญา สามารถมาเป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจได้
การซักฟอกทั้ง ๒ ครั้งไม่ได้พ่นน้ำลายเสร็จก็แล้วกันไป
แต่มีผลต่อเนื่องตามมามากมาย
หลายคนหนี หลายคนติดคุก
ที่เห็นชัดๆ โครงการรับจำนำข้าว โกงข้าวจีทูจี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก ๕ ปี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
และความผิดกฎหมาย ป.ป.ช.
เจ้าตัวทอดน่องผ่านเส้นทางธรรมชาติ หนีตามพี่ชายตามประสาคนโกง มี ส.ส.เพื่อไทยเดินกุมไข่ไปหาเป็นระยะๆ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำคุก ๔๒ ปี “บุญทรง เตริยาภิรมย์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ คดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)
และเพิ่มอีก ๖ ปี จากการอุทธรณ์คดี
รวมเป็น ๔๘ ปี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งจำคุก ๒ ปี “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คดีออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้ทักษิณ โดยมิชอบ
นั่นคือการโกงในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
มีคำพิพากษาของศาลยืนยันว่า “โกงจริง” ไม่มีการแสดงแทน
แต่เอาล่ะระบบรัฐสภา ฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล
วันนี้พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนบทบาทจากที่เคยถูกจับโกง จนต้องหนี ต้องติดคุกกันระนาว มาเป็นฝ่ายจับโกงบ้าง
คำถามคือ…มีเครดิตแค่ไหน เป็นหน้าที่พรรคเพื่อไทยเป็นผู้ตอบกับสังคม
แถมท้าย เมื่อ “ทอน ส้มหวาน” ชอบถามว่ามีคดีอะไรบ้างที่จะนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่ อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ท่านชูชาติ ศรีแสง เฉลยผ่านเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng เอาไว้ดังนี้
——————
…..นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถามว่ามีคดีอะไรบ้างที่จะนำไปสู่การยุบพรรคอนาคตใหม่และเคยกล่าวหลายครั้งว่า ไม่มีกฎหมายที่จะยุบพรรคอนาคตใหม่ได้
…..นายธนาธรระบุไว้ในรายการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า ได้ให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจำนวน ๑๙๑ ล้านบาทเศษ นี่คือข้อเท็จจริงที่นายธนาธรกล่าวเอง ไม่ได้มีใครกลั่นแกล้งกล่าวหา
…..เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ยุติดังกล่าว ต่อไปก็พิจารณาดูข้อกฎหมายคือ
…..พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๖๐
…..มาตรา ๖๒ พรรคการเมืองอาจมีรายได้ ดังต่อไปนี้
……..(๑) เงินทุนประเดิมตามมาตรา ๙ วรรคสอง
……..(๒) เงินค่าธรรมเนียมและค่าบํารุงพรรคการเมืองตามที่กําหนดในข้อบังคับ
……..(๓) เงินที่ได้จากการจําหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรคการเมือง
……..(๔) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรคการเมือง
……..(๕) เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค
……..(๖) เงินอุดหนุนจากกองทุน
……..(๗) ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง
…..บทบัญญัติในมาตรานี้ระบุให้พรรคการเมืองมีรายได้ตาม (๑) ถึง (๗) เท่านั้น ไม่อาจกู้ยืมเงินจากบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้
…..การที่พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินจากนายธนาธร จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา ๖๒ เงินที่พรรคอนาคตใหม่รับมาจากนายธนาธรจำนวน ๑๙๑ ล้านบาทเศษ จึงเป็นการรับเงินมาโดยที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
…..มาตรา ๗๒ ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
…..มาตรา ๙๒ เมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทําการ อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น
…..(๓) กระทําการฝ่าฝืนมาตรา ๒๐ วรรคสอง มาตรา ๒๘ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๖ มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ **มาตรา ๗๒** หรือมาตรา ๗๔
…..สรุปคือเมื่อพรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินนายธนาธรอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา ๖๒ เงินที่ได้รับมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของพรรคก็เป็นการรับมาโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๗๒ จึงเข้าข่ายที่ให้ กกต.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้สั่งยุบพรรคการเมืองตามมาตรา ๙๒
…..นี่คือข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่พรรคอนาคตใหม่อาจถูกยุบได้ ซึ่งเป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต.ที่จะต้องดำเนินการตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา ๙๒
————————–
สรุปว่า…ยุบได้นะ”ทอน”
สุดท้าย ท้ายสุด ยอดบริจาคช่วยเหลือ ๒๐ ครอบครัว ชรบ.ลำพะยา ล้นหลาม ๓,๔๗๓,๒๒๓.๘๔ บาท ย้ำอีกทีปิดบัญชีแล้วนะครับ
ขอบพระคุณกัลยาณมิตร แทน ๒๐ ครอบครัว ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ.