ผักกาดหอม
นั่นไง….
โผล่มาเชียว
“จากการชุมนุมสนามหลวง ๒๐ มี.ค.๖๔ ขอเตือนดังๆ อีกครั้ง ระวัง ๖ ตุลาโมเดล”
“รังสิมันต์ โรม” จั่วหัวในเฟซบุ๊กเอาไว้แบบนั้น
ส่วนรายละเอียดก็ตามนี้…..
————-
…ถึงเวลานี้ชัดเจนว่ารัฐบาลมีนโยบายใช้ไม้แข็งหรือวิธีการที่รุนแรงในการจัดการควบคุม จัดการ และสลายการชุมนุม กับผู้ชุมนุมทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมที่เข้มงวด สร้างกำแพงกรุงเทพฯ (The Wall of Bangkok) หรือแนวตู้คอนเทนเนอร์ หากมีการชุมนุมใกล้เขตพระราชฐาน เช่น สนามหลวง หรือสถานที่ใกล้เคียงเขตพระราชฐาน อย่างบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ตั้งอยู่ใกล้กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หรือแม้แต่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล แต่เป็นหน่วยงานในพระมหากษัตริย์ ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.๒๕๖๑
เอาเป็นว่าถ้ามีการจัดการชุมนุมใกล้สถานที่ที่ “อ่อนไหว” การควบคุมป้องกันที่เข้มงวดด้วยแนวตู้คอนเทนเนอร์ จะเกิดขึ้นโดยทันที
ไม่ว่าจะเป็นการจัดการและสลายการชุมนุมที่รุนแรง หากผู้ชุมนุมมีความพยายามจะฝ่าแนวตู้คอนเทนเนอร์ ดึง หรือเคลื่อนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการก็จะได้รับคำสั่งให้สลายการชุมนุม เคลียร์พื้นที่ ฉีดน้ำ รวมทั้งการใช้กระบองตี ใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางกับผู้ชุมนุมทันที
เราได้เห็นการใช้กระบองตีผู้ชุมนุม และการใช้กระสุนยางยิงในแนวระนาบ ในการชุมนุมครั้งล่าสุดที่สนามหลวง (ก่อนหน้านี้ที่ชัดๆ ก็คือการชุมนุมที่หน้าบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์) ซึ่งผมต้องยืนยันอีกครั้งว่าเป็นวิธีการที่เกินกว่าเหตุ และไม่ได้เป็นไปตามแนวทางสากลแน่นอน
นอกจากนี้ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เพียงแค่ผู้ชุมนุมดึงตู้คอนเทนเนอร์ลงมา หลังจากนั้นเหมือนมีการกดปุ่ม ให้เคลียร์พื้นที่ ด้วยการฉีดน้ำ แนวเจ้าหน้าที่ที่ถือโล่และกระบองเดินเข้าผลักดันผู้ชุมนุม จนผู้ชุมนุมที่ออกจากพื้นที่ไม่ทันทั้งถูกดัน ถูกตี
มีการใช้กระสุนยางยิงแบบปูพรมไปยังตรอก ซอกซอยต่างๆ จนกระสุนไปโดนนักข่าวและคนที่มาเที่ยวอยู่ในบริเวณถนนข้าวสาร ถ้าแม้แต่สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปยังได้รับบาดเจ็บ แล้วประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมคงจะมั่นใจความปลอดภัยของตัวเองได้อย่างไร? หรือว่าจริงๆ แล้วมีการหวังผลให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ใช่หรือไม่?
ผมเชื่อมั่นว่าการชุมนุมบนแนวทางสันติวิธีนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน และจริงอยู่ที่ผู้ชุมนุมอาจมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับที่พร้อมดึงตู้คอนเทนเนอร์ ไปจนถึงระดับที่แค่ไปเล่นว่าวชูภาพเพื่อนที่ติดคุกขึ้นบนฟ้า ระดับที่นัดกันไปเล่นสเกตบอร์ด ระดับที่นัดกันไปเขียนป้ายผ้า แต่เจ้าหน้าที่กลับปูพรมยิงกราด และปฏิบัติการรุนแรงราวกับว่ามีการก่อจลาจลเกิดขึ้น
มิหนำซ้ำ ยังมีผู้ไม่หวังดีดักรอคอยใช้อาวุธดักตี ดักทำร้าย ผู้ชุมนุมที่กระจัดกระจายออกมาจากที่ชุมนุม ซึ่งกลุ่มผู้ไม่หวังดีเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ไม่เคยจับตัวใครมาดำเนินคดีได้
สถานการณ์ของสังคมไทยกำลังเดินเข้าสู่ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญและน่ากังวล ดังที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๑๙ นั่นคือการมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ใฝ่ฝันและปรารถนาดีต่อบ้านเมือง อยากเห็นประเทศชาติเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง คนรุ่นใหม่อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ซึ่งจริงๆ แล้วถือเป็นความฝันพื้นฐานของประชาชนทุกคน
แต่กลับมีคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ขัดขวางกีดกันทุกวิถีทาง พร้อมกับปลุกระดมให้ประชาชนฟาดฟันกันเอง
ผมไม่อยากให้สถานการณ์ในวันนี้ต้องบานปลายไปสู่ “6 ตุลาโมเดล” ในอดีตอีก
รับฟังกันบ้างเถิดครับ หากว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอมจริง เพราะคนที่ออกไปชุมนุมก็ลูกหลานท่านทั้งนั้น
—————–
ผมก็ยืนยันเหมือน ทั่น ส.ส.รังสิมันต์ ว่าการชุมนุมบนแนวทางสันติวิธีนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน
แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่การชุมนุมนั้นไม่สันติ พกพาอาวุธ และใช้อาวุธนั้นกับเจ้าหน้าที่ ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ไม่เฉพาะไทย เป็นหลักสากลที่ทั่วโลกต่างก็ยึดปฏิบัติตามนี้
ผู้ชุมนุมจะก่อความรุนแรงหรือไม่ ต้องดูที่หน้างาน ไม่ใช่ตอแหลเอาตามกำหนดการในโซเชียล
ถามหน่อยตู้คอนเทนเนอร์ถูกดึงออกแล้ว สามนิ้ว นั่งพับเพียบตรงนั้นหรือเปล่า
ที่เห็นคือดึงออกแล้วปาระเบิดปิงปองใส่ตำรวจ
ตอนนี้มีการถกเถียงกันว่า ใครสร้างความรุนแรงก่อนกัน
ถ้าเป็นไปได้ควรหาเวทีที่เป็นกลาง แล้วนำคลิปที่ปรากฏให้เห็นเป็นการทั่วไปในโซเชียลมาเปิดดูวินาทีต่อวินาที
ไม่งั้นพวกผีเจาะปากพูดไม่มีวันจบ
“รังสิมันต์” ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าการตั้งตู้คอนเทนเนอร์ จะเฉพาะเจาะจงกับการชุมนุมที่ประกาศว่าต้องการไปเขตพระราชฐาน
เหตุผลหลักๆ คือเจ้าหน้าที่ไม่ต้องการปะทะกับผู้ชุมนุมโดยตรง
เพราะถ้าจะเข้าเขตพระราชฐานให้ได้ต้องมีการปะทะแน่นอน
เมื่อรู้ว่าใครคือต้นเหตุก่อความรุนแรง ก็จะรู้ว่า ๖ ตุลาโมเดลเกิดเพราะใคร และมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เหตุความขัดแย้งย้อนกลับไปเหมือนในอดีต
เหตุการณ์ ๖ ตุลาวิปโยค ความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้คือ เหตุการณ์ที่นักเรียนนิสิตนักศึกษานำ ประชาชน ชุมนุมประท้วงการกลับเข้ามาในประเทศไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร (ที่บวชเป็นเณรเข้ามาจากสิงคโปร์) อันเป็นส่วนหนึ่งของ แผนการยึดอำนาจของฝ่ายรัฐ ที่จะทำ “รัฐประหาร” ขึ้นในวันเดียวกัน
นักเรียนนิสิตนักศึกษาถูก “ป้ายสี” กล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบันกษัตริย์”
เป็นต่างด้าว และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
ผู้ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ถูกปิดล้อม
หลายคนเสียชีวิตด้วยอาวุธสงคราม มีการโหมเครือข่ายลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดง นวพล วิทยุยานเกราะ
แล้วเราสามารถนำเหตุการณ์เมื่อ ๔๕ ปีที่แล้วมาสรุปว่า ม็อบวันที่ ๒๐ มีนาคม จะซ้ำรอย ๖ ตุลา ได้หรือไม่
แค่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ก็ต่างกันแล้ว
ทหารในอดีต ไม่ใช่ทหารในปัจจุบัน มีความต่างในเรื่องของแนวคิดอยู่มากพอสมควร
ถ้าบอกว่า ทหารห้ามเปลี่ยน หรือเปลี่ยนไม่ได้ งั้นไปดูกรณี สมัคร สุนทรเวช ที่โหมปลุกระดมผ่านวิทยุยานเกราะ ก็เปลี่ยนขั้วไปอยู่กับระบอบทักษิณที่ชาวสามนิ้วเสื้อแดงพากันชื่นชม
คนเดือนตุลาจำนวนมากกลายสภาพเป็นสมุนคนโกงแผ่นดิน
นั่นคือการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็น
ถามว่า มีใครในม็อบสามนิ้ว โดนคดี ม.๑๑๒ เพราะถูก “ป้ายสี” กล่าวหาว่า “หมิ่นสถาบันกษัตริย์” หรือไม่?
ทุกวันนี้ไม่ต้องกล่าวหาใครว่าล้มล้างสถาบันแล้ว เพราะมวลชนสามนิ้วเองเป็นฝ่ายปลุกระดม เชิญชวนล้มล้างสถาบันกันอย่างเปิดเผย
และการชุมนุม ๒๐ มีนาคม ก็พุ่งเป้าไปที่พระบรมฉายาลักษณ์โดยตรง
ทั่น ส.ส.รังสิมันต์ รู้หมดครับว่าใครทำอะไร ต้องการอะไร
ไร้ประโยชน์ที่รัฐจะก่อความขัดแย้งโดยใช้ ๖ ตุลาโมเดล
แต่หาก ๖ ตุลาซ้ำรอยฝ่ายที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากเหตุการณ์นี้คือ…
ขบวนการล้มเจ้า.