ผักกาดหอม
ไม่ล็อกก็โวย
หาว่ารัฐบาลถังแตก เอาเงินไปทำอย่างอื่นหมด
สุดท้ายโยงไปหาสถาบันพระมหากษัตริย์
คนพวกนี้จิตป่วย ยิ่งกว่าติดโควิด
มือไม่พายตีนราน้ำ
น่าเห็นใจคนทำงานครับ
คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ไปโพสต์ในบล็อกส่วนตัว “MORE ทวีศิลป์” เพราะสื่อออนไลน์สำนักโอ๊ค อ๊ากไปพาดหัวว่า
“ประยุทธ์โดนด่ายับ โควิดพุ่งจ่อพัน ทวีศิลป์ชี้ประชาชนคือภาระทำประเทศพัง แต่ไม่อยากเยียวยา”
คุณหมอเลยร้องขอนิ่มๆ
“ขอความเป็นธรรม…..ไม่สร้างความเกลียดชัง เนื่องจากมิได้ใช้คำพูดตามที่สื่อนี้ออกมาพาดหัวข่าวเลย”
ครับ…โดยข้อเท็จจริงหากคุณหมอไปพูดแบบนั้น โดนสื่อโดยรวมถล่มเละไปแล้ว
นี่คือปัญหาการใช้ Hate Speech สร้างความเกลียดชัง
พูดง่ายๆ กูจะด่ามึง ไม่ต้องพูดเรื่องข้อเท็จจริง
คำแถลงของคุณหมอที่ถูกจับมาเป็นข่าว คำต่อคำตามนี้
“…เมื่อไหร่ก็ตามที่ ศบค.ประกาศว่าต้องมีการล็อกดาวน์ แน่นอนว่าคำสั่งนี้ทำให้กระทบปัญหาเศรษฐกิจ กระทบต่อการหารายได้ของทุกท่าน ก็ต้องมีมาตรการเยียวยา
ฉะนั้นการใช้มาตรการต่างๆ เหล่านี้มีค่าใช้จ่ายต้องเสีย และเป็นภาพที่ทำให้ทุกคนลำบากทั้งหมด ฉะนั้นตอนนี้เราสามารถกระจายความรับผิดชอบ ความร่วมมือกันไปได้ทุกคน ทุกส่วน ที่ต้องการอยากทำมาหากินอยู่ในชีวิตรูปแบบวิถีใหม่ ก็ต้องทำต้องปฏิบัติ
การติดต่อของโรคขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกมากมาย เราไม่ได้บอกว่าให้งดเที่ยวบินแล้วจะลดโรคติดต่อได้ หรือปิดเรื่องการขายอาหารแล้วจะลดโรคติดต่อได้ ก็ไม่ใช่
ฉะนั้นต้องประกอบกันหลายส่วน แม้จังหวัดนั้นจะมีระบบควบคุม และป้องกันโรคได้ดี ซึ่งก็ต้องขอชื่นชมระบบการทำงานของจังหวัดนครปฐม ที่รีบให้มีการสอบสวนโรค ซึ่งในเวลาไม่เท่าไหร่ก็สามารถลดการติดต่อของโรคไปได้หลายขั้น
ทั้งนี้ภาพของแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน การใช้ยาแรงอย่างเดียวในการจัดการทั้งประเทศตอนนี้ หลักการข้อนี้ลดทอนความสำคัญลง และเราได้บทเรียนครั้งที่แล้วว่า คนที่เจ็บปวดที่สุดคือประชาชนคนปกติถูกจำกัดบริเวณ เวลาและสถานที่
แต่คนที่ทำผิดกฎหมายก็ยังทำละเมิดกฎหมาย เล่นการพนันมั่วสุม หรือดื่มสุราเหมือนเดิม เราคงไม่ให้คนปกติสุจริตจะต้องมาเดือดร้อน…”
มีตรงไหนโทษประชาชน นอกจากพูดถึงพวกทำผิดกฎหมาย มั่วสุมเล่นการพนัน กินเหล้า ที่ทำให้คนสุจริตเดือดร้อน
ถ้าจะบอกว่าพวกผีพนัน ขี้เหล้า มั่วสุมเสี่ยงโควิด ทำประเทศพัง อันนี้ถูกต้อง
แต่ไม่ใช่เหมารวมว่า ด่าประชาชนทำประเทศพัง
ก็หอมปากหอมคอครับ
Hate Speech – Fake News ช่วงนี้เริ่มจะโผล่มาเยอะอีกครั้ง
ข่าววัคซีนก็เช่นกัน พอบอกว่า สยามไบโอไซเอนซ์ ที่เตรียมผลิตวัคซีนโควิดนั้น ใช้เงินทุนของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ๔,๕๐๐ ล้านบาทสร้างขึ้น
นี่ก็ไปแล้ว…..ผูกขาดไม่ยอมให้ใครนำเข้าวัคซีน
สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ต้องการโกยกำไรเพียงผู้เดียว
ดูมัน!
สยามไบโอไซเอนซ์ มีสถานภาพเป็นบริษัทจำกัด ดำเนินการวิจัย พัฒนา และผลิตยา เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ
มีการวิจัย พัฒนาและผลิตครบวงจร ตั้งแต่ตัวยาสำคัญและสารออกฤทธิ์ จนถึง ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
ทำงานแทบจะเป็นมูลนิธิ ไม่ได้หวังผลกำไร
แต่เป็นเครื่องมือของประเทศ เป็นหลักประกันว่าเราสามารถวิจัย พัฒนา เองได้
การบริหารองค์กรไม่มีอะไรเกี่ยวข้องสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
คนพวกนี้บาปหนา
คอยดูไปเถอะสุดท้าย ขี้เกียจจะแย่งกันฉีดวัคซีนจาก สยามไบโอไซเอนซ์
ข่าวดีจากปาก “ลุงตู่” วัคซีนมาแน่
“คาดว่าในระยะเวลา ๓ เดือนนี้จะได้เข้ามา ๒ ล้านโดสก่อน
ซึ่งก็ต้องเตรียมแผนว่าจะฉีดให้ใครบ้างตามลำดับความเร่งด่วน และที่เหลืออีก ๒๖ ล้านโดส จะเข้ามาในระยะต่อไป
ผมให้เพิ่มเติมไปอีก ๓๕ ล้านโดส
ดังนั้นคาดว่าจะฉีดให้คนส่วนใหญ่ได้เกือบหมดทั้งประเทศ ซึ่งก็ต้องดูว่าเมื่อถึงเวลานั้นมีความจำเป็นต้องฉีดทั้งประเทศหรือเปล่า”
สรุปแล้วทุกประเทศทั่วโลกฉีดก่อนฉีดหลังต่างกันแค่ไม่กี่เดือน
มันไม่ใช่สาระที่จะเอามาโจมตีกันว่า เพื่อนบ้านฉีดแล้ว ทำไมไทยยังไม่มา
๒ วันมานี้ ที่กรุงปักกิ่ง ของจีน ระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนไป ๗ หมื่นกว่าคน ถามว่าเยอะหรือเปล่า ถ้าเทียบกับประชากร
ถือว่ายังน้อยมาก
อีกอย่างเป็นวัคซีนจีน เขาทำเองฉีดเอง
ก็เพิ่งจะฉีดกันไปไม่เท่าไหร่
ที่อังกฤษก็เพิ่งฉีดวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกาให้กับประชาชน ไปสดๆ ร้อนๆ
วัคซีนบริษัทนี้แหละที่ไทยจองไว้ และจะเอามาผลิตที่สยามไบโอไซเอนซ์
สำหรับไทยอีกเดือนกว่าก็เริ่มฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์
ฉีดแข่งกัน เผลอๆ ไทยฉีดครบคนก่อน เพราะคนเราน้อยกว่า
ฉะนั้นมันไม่ได้ช้า
ช่วงนี้งดเดินทางได้ควรงดครับ ธุระไม่จำเป็นก็เอาไว้ก่อน ส่วนที่จำเป็นควรปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
หน่วยงานราชการทยอยทำงานที่บ้านกันแล้ว ประชุม ครม.ใช้คอนเฟอเรนซ์
สภาเลื่อนประชุมไป ๒ สัปดาห์ แต่พวกขวางโลกสมุนสามสัสไม่พอใจอย่างแรง อ้างว่ากระทบแก้รัฐธรรมนูญ กระทบซักฟอกรัฐบาล
มันก็เป็นซะอย่างนี้ มองปัญหามิติเดียวคือ มิติของตัวเอง
คอนเฟอเรนซ์ เว้นระยะห่าง เลื่อนประชุม มีมิติสำคัญคือเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการสร้างความเข้าใจร่วมกันว่า….
มาตรการทางสาธารณสุข ต้องมาก่อนความกระสันทางการเมือง.