บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดฉากธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานในประเทศ โดยเข้าลงทุนสัดส่วนร้อยละ 44.6 ในบริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด เพื่อดำเนินโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งขยายโอกาสการลงทุนไปสู่ธุรกิจท่อขนส่งน้ำมัน ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
นายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า “เอ็กโกได้เข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (“TPN”) ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งน้ำมันโดยระบบขนส่งทางท่อ ไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และให้บริการคลังน้ำมัน จากบริษัท บิ๊กแก๊ส เทคโนโลยี จำกัด (“BIGGAS”) จำนวน 7,739,998 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43 ของทุนจดทะเบียน และได้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน TPN อีกจำนวน 3,185,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท รวมเป็นจำนวนทั้งหมด 10,924,998 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44.6 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ เอ็กโกได้ลงนามในสัญญาซื้อขายและจองซื้อหุ้น เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2562 และลงนามในสัญญาผู้ถือหุ้น ในวันที่ 25 กันยายน 2562”
TPN จะดำเนินโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยระบบท่อขนส่งจะเชื่อมต่อคลังน้ำมันของบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) ในจังหวัดสระบุรี ไปยังคลังน้ำมันขนาด 142 ล้านลิตร ของ TPN ในจังหวัดขอนแก่น ผ่านท่อขนส่งใต้ดินเส้นใหม่ มีระยะทางรวม 342.8 กิโลเมตร ซึ่งมีกำลังการขนส่งต่อปีอยู่ที่ 5,443 ล้านลิตร และสามารถขยายเพิ่มเป็น 7,338 ล้านลิตรในอนาคต โดยปัจจุบันโครงการฯ อยู่ระหว่างการก่อสร้างและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ปี 2564
“การลงทุนครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของเอ็กโกในการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน ซึ่งธุรกิจท่อส่งน้ำมันเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และโครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศและได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งฐานลูกค้าส่วนใหญ่มาจากกลุ่มบริษัทน้ำมัน นอกจากนี้ ความร่วมมือทางธุรกิจกับ BIGGAS ยังเป็นการประสานจุดแข็งกับพันธมิตรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงาน ในด้านการให้บริการและการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสในการพัฒนาโครงการอื่นๆ ในอนาคต” นายจักษ์กริช กล่าวเพิ่มเติม