อาทิตย์นี้ มีเรื่อง “ลอกมาเล่า” สลับเรื่องราวการเมืองกวนเมืองช่วงนี้อีก
คือได้อ่านเรื่อง “ชายชุดขาวที่วัดบวรฯ” ใน dharma-gateway.com หลายวันก่อน ก็ค้างอยู่ในใจ
คิดว่าหลายท่านคงได้อ่านมาบ้างแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก อ่านแล้ว-อ่านอีก บางทีจะกระจ่างในบางประเด็นที่พิศวงอยู่ในใจยิ่งขึ้นก็ได้
ก่อนจะคุยอะไรกัน ผมว่าอ่านเรื่องราวก่อนดีกว่า ก็ขออนุญาต dharma-gateway.com นำเผยแพร่ต่อ ดังนี้
——————————
ชายปริศนาในชุดขาวที่วัดบวรฯ
บทความนี้นํามาจาก อารยาฟอรั่ม
(http://aryaforum.freeforums.org/topic-t521.html)
วันเสาร์ที่ผ่านมา
ดิฉันได้นำอาหารไปถวายพระสงฆ์ที่วัดใกล้บ้านเช่นที่เคยทำทุกสัปดาห์
ปกติท่านเจ้าอาวาสจะเทศนาเป็นภาษาอังกฤษแก่ผู้ที่ภาษาไทยไม่แข็งแรง (รวมทั้งลูกๆ ของดิฉันด้วย)
แต่สัปดาห์นี้ ท่านตอบคำถามของคุณแม่สามีของดิฉัน
คุณแม่เป็นคนที่กลัวผีมาก และเพิ่งกลับจากไปเที่ยวที่ Smoky Mountains, Tennessee
ท่านเล่าว่า ถูกคนดึงขาถึงสองคืนที่พักอยู่ที่นั่น พบว่าโรงแรมสร้างอยู่ข้างๆสุสาน ท่านจึงถามว่า “ผี” มีจริงหรือไม่?
ท่านเจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า
“อาตมามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แล้วโยม คิดกันเอาเองว่า “ผี” มีจริงหรือไม่?
แล้วท่านก็เล่าเรื่องเป็นภาษาอังกฤษ ที่แปลเป็นไทยได้คล้ายๆ แบบนี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2510 ได้มีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย
ชาวต่างชาติผู้นี้ มีความนิยมชมชอบในวัฒนธรรมไทย และยังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า เมื่อมาอยู่เมืองไทย จึงชอบที่จะไปท่องเที่ยวตามวัดวาอารามต่าง ๆ
อยู่มาวันหนึ่ง ฝรั่งต่างชาติคนนี้ก็นั่งแท็กซี่มาที่วัดบวรนิเวศฯแต่เช้าตรู่ รถก็พามาจอดตรงประตูทางเข้าพระอุโบสถ
ซึ่งขณะนั้น ฟ้ายังไม่สว่าง ประตูจึงยังไม่เปิด
และในเวลาปกติ ประตูตรงหน้าพระอุโบสถนี้ก็จะไม่เปิดอยู่แล้ว นอกจากจะเป็นวันพระหรือภายในวัดมีงาน
แต่เพราะความไม่รู้ ฝรั่งคนนั้นจึงยืนรออยู่บริเวณนั้น
สักพักต่อมา ประตูก็เปิดออก ……..
มีชายวัยกลางคนสวมชุดชาวทั้งชุด เดินตรงมาหาฝรั่งคนนั้น และทักทายด้วยภาษาอังกฤษ ถามว่า
“มายืนอยู่ทำไม”
ฝรั่งก็บอกว่า “ต้องการจะมาดูพระสงฆ์ออกบิณฑบาต”
ชายปริศนาในชุดขาวตอบว่า
“อีกนานกว่าพระจะออกมาบิณฑบาต ควรเข้าไปชมในวัดก่อนดีกว่า”
ฝรั่งก็ตกลง และเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในวัด
ชายปริศนานำฝรั่งเดินตรงไปเปิดประตูพระอุโบสถ พร้อมเชื้อเชิญให้เข้าไปชมความงดงามของศิลปะไทย ๆ ภายในพระอุโบสถ
และยังอธิบายประวัติพระประธานคือ พระพุทธชินศรี ซึ่งงดงามแบบพระพุทธชินราชที่ จ.พิษณุโลก และยังให้ดูพระรูปโลหะของ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และ สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
พร้อมยังเล่าประวัติให้ฟังด้วย
เมื่อออกจากพระอุโบสถ ชายชุดขาวก็พาฝรั่งไปชมพระพุทธรูปที่พระวิหารพระศรีศาสดาและที่พระเจดีย์ แล้วยังพาเดินผ่านกุฏิต่างๆ พร้อมบอกชื่อและความสำคัญของอาคารต่าง ๆ แถวนั้น อย่างละเอียด
สุดท้าย ก็พาฝรั่งออกมาส่งที่นอกประตูวัด บอกให้รอประเดี๋ยวจะมีพระบิณฑบาตผ่านมา
พูดจบแล้ว ชายชุดขาวก็เดินกลับเข้าไปในวัดและปิดประตูลงดังเดิม
ฝรั่งชาวต่างชาติผู้นี้ ในภายหลัง ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จึงได้มาขอบวชกับสมเด็จพระญาณสังวร เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ
และด้วยความที่ยังติดใจอยู่กับชายปริศนาในชุดขาวที่เคยพาเที่ยวชมวัดบวรฯ จึงพยายามตามหาอยู่ตลอด เพราะคิดว่าชายคนนั้นคงอาศัยอยู่ภายในวัด
แต่หลังจากพยายามตามหาเท่าไรก็ยังหาไม่พบ แม้จะถามหาจากใครหลายคนที่เป็นคนเก่าแก่ และพระสงฆ์องค์เจ้า ก็ไม่เคยมีใครรู้จัก หรือพบเห็นชายในลักษณะดังกล่าวเลย
รูปการณ์นี้ จึงมีการสันนิษฐานกันว่า ชายคนดังกล่าวน่าจะเป็น “เทพ” ที่สถิตอยู่ในวัดบวรฯเพราะมีพฤติการณ์หลายอย่างที่ประหลาด
อย่างแรกก็คือ ประตูพระอุโบสถนั้น จะมีผู้ถือกุญแจอยู่ประจำ ซึ่งไม่ใช่ชายในลักษณะดังกล่าว
และอีกประการสำคัญ ประตูที่กำแพงวัดกับประตูพระอุโบสถนั้น จะไม่มีการเปิดในเวลานั้นเด็ดขาด
ที่น่าอัศจรรย์ คือวิธีการเปิดประตูของชายคนนั้น ไม่ได้ใช้กุญแจ แต่เป็นการผลักเข้าไปเฉยๆทั้งๆที่ความเป็นจริง ประตูทุกบานจะลั่นกุญแจไว้เสมอ
ฉะนั้น คนธรรมดาไม่อาจถือวิสาสะเปิดเข้าไปได้แน่นอน
คนที่ทำเช่นนี้ได้ เห็นจะมีแต่ “เทพยดา” และผู้มีฤทธิ์เท่านั้น
จากประสบการณ์ที่พบเห็นเรื่องราวน่าประหลาดของภิกษุหนุ่มชาวต่างชาติ จึงเป็นเหตุให้ต่อมาเขาได้อุทิศเวลา และความตั้งใจศึกษาปฏิบัติพระกรรมฐาน เพื่อให้ได้สมาธิชั้นสูง
โดยหวังว่า วันหนึ่งคงได้พบชายชุดขาวนั้นอีกครั้ง ซึ่งสำหรับผู้ปฏิบัติแล้วไม่เกินวิสัยที่สามารถทำได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ดิฉันคัดลอกบทความนี้มาจาก “เทพ” และ “ผี” ที่วัดบวรนิเวศฯ คิดว่าหลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินหรือได้อ่านมาก่อน
เพราะเรื่องเคยตีพิมพ์ในนิตยสารศรีสัปดาห์นานมาแล้ว ดิฉันนำเรื่องนี้มาเล่าอีกครั้งก็เพราะว่า
ในระหว่างที่เล่า……
ท่านเผลอใช้สรรพนามว่า “I” อยู่หลายครั้ง ก็เลยจับได้ว่าท่านคือ “ฝรั่ง” เจ้าของเรื่องตัวจริง!
จึงได้ฟังรายละเอียดต่อว่า ไม่เพียงแต่ท่านได้ชมวัด หากแต่ได้ฟังประวัติของวัดบวรฯ โดยละเอียด
ท่านเล่าว่า ชายในชุดขาว (ใส่โจงกระเบนแบบแขกยาม) บอกกับท่านว่า
จริงๆ แล้ววัดบวรฯ เป็นวัดสองวัด โดยชายชุดขาวเรียกอีกวัดหนึ่งว่า “วัดเหนือ”
พร้อมทั้งแสดงความผิดหวังที่ไม่มีการบูรณะซ่อมแซมในส่วนนั้นเลย
ท่านเล่าว่า ท่านได้พักอยู่ที่คณะสูง โดยอยู่ในความดูแลของพระขันติปาโล (พระภิกษุชาวอังกฤษ) ถึงสามสัปดาห์
เมื่อท่านเอ่ยถามเรื่องชายในชุดขาว สมเด็จพระญาณสังวร (เป็นเจ้าคุณพระสาสนโสภณ ในขณะนั้น) ก็ได้เรียกให้ไปพบ
และเมื่อท่านเล่าเรื่องจบ พร้อมทั้งบอกเรื่องที่ชายในชุดขาวผิดหวัง สมเด็จฯได้เอารูปภาพหลายๆ ภาพให้ท่านดู
ท่านก็ได้พบชายในชุดขาวในภาพๆหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็ได้รู้จักชื่อของชายในชุดขาวที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วว่า “King Rama 4Th”
หรือคนไทยรู้จักท่านในชื่อ”พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ ๔”
ผู้ทรงก่อตั้ง “คณะธรรมยุตินิกาย” ที่วัดบวรนิเวศวิหารแห่งนี้
ดิฉันฟังแล้วก็ขนลุก.
ครับ….
วัดบวรฯทุกท่านต้องรู้จักแน่ สำหรับผม อ่านแล้วปราศจากข้อสงสัยด้วยประการทั้งปวง
สรรพนาม I ตามที่ผู้เล่าบอกว่า “ก็เลยจับได้ว่าท่านคือ “ฝรั่ง” เจ้าของเรื่องตัวจริง” นั้น
ในเรื่องไม่ได้ระบุเป็นพระรูปไหน แต่ภาพที่ “อารยาฟอรัม” นำประกอบเรื่อง
เป็นพระชื่อ Bhikkhu Khemasanto
เขมสันโต ภิกขุ เจ้าอาวาสวัดป่าธรรมศาลา รัฐมิชิแกน สหรัฐฯ
ก็พอจะอนุมานได้ว่า “ชาวต่างชาติ” คนนั้น ก็คือ “เขมสันโต ภิกขุ” นั่นเอง
แล้วท่านล่ะ เข้าใจว่าอย่างไร?
Credit: AJAHN KHEMASANTO’s photo