เปลว สีเงิน
วันนี้คุยเรื่อง “หัวเขียง-หัวขวด” พรรคเพื่อไทยกันต่อ
ที่เสนอกฎหมายให้ “นักการเมือง” เข้าไป “ควบคุมกองทัพ”
“สภากลาโหม” ต้องอยู่ใต้อำนาจครม.
โดยให้ “นายกฯ” นั่งหัวโต๊ะเป็น “ประธานสภากลาโหม”
“ริบอำนาจ” การแต่งตั้งนายพลจาก “๗ เสือกลาโหม” ให้มาอยู่ภายใต้ความเห็นชอบของครม.นั้น
เสนอปุ๊บ เกือกปลิวใส่กบาลไอ้หัวเขียงปั๊บ!
“นายกฯ คอกหมา” เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน ว่า “การเมือง” โดยนายกฯ เข้าไปคุมการ “แต่งตั้งตำรวจ” ได้
ก็เหิมเกริม….
รุกคืบจะเข้าไปคุมการแต่งตั้งนายพลของ “๓ เหล่าทัพ” บ้าง เป็นการกินรวบ
เมื่อถูกสังคมและพรรรคร่วมอย่างภูมิใจไทยของนายอนุทิน และรวมไทยสร้างชาติของนายพีระพันธุ์
ยันด้วยบั้นท้ายเท้าหน้าหงาย ก็ออกมาพูดหน้าตาย
“ผมเปล่ารู้เรื่อง ได้ยินยังตกใจ นายกฯ แพทองธารก็ตกใจเพราะเรื่องนี้ไม่ได้เข้ากระบวนการของพรรคเพื่อไทย”
แหม…ขวัญอ่อนกันทั้งพ่อ-ทั้งลูกเลยนะ
ว่าแต่ว่า แน่นะ..ที่ว่า “ไม่รู้เรื่อง” น่ะ?
งั้นอ่านที่หัวเขียง “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” แถลงถึงที่มาของการเสนอกฎหมายเข้าสภา อ่านแล้ว จะยังปากแข็งหรือปากอ่อน เป็นอีกเรื่อง
แต่ที่แน่ๆอาจได้รับรางวัล “พ่อ-ลูกลวงโลก” ก็ได้นะ!
หัวเขียงแถลงเมื่อ ๑๒ ธันวา.ว่า….
“…….ผมจึงอาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๓๓(๒)เข้าชื่อเสนอกฎหมายสมบูรณ์แบบทุกประการ โดยไม่จำเป็นต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมของพรรค
แต่ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยก็ต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อขอเสียงสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย จะทำก่อนหรือหลังการเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาได้ทั้งสิ้น”
เห็นมั้ย…
การเสนอร่างกฎหมายข้าสภาได้ ต้องเข้ากระบวนการของพรรคก่อน ผ่านคณะกรรมการกฎหมายของพรรคก่อน มีสมาชิกพรรครับรองตามมมาตรา ๑๓๓(๒)ก่อน ถึงเสนอได้
ดังนั้น ที่หัวหน้าคอกหมาบอก…ตกใจ ไม่รู้เรื่อง มัน ตล.ชัดๆ แถมมาตรา ๑๓๓(๒) บอกว่า
มาตรา ๑๓๓ ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย
(๑) คณะรัฐมนตรี
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจํานวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคน
(๓) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามหมวด ๓
สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม (๒)หรือ(๓) เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคํารับรองของนายกรัฐมนตรี
กฎหมายนี้เป็น “กฎหมายการเงิน” ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง ตามมาตรา ๗๗ ด้วย
ดังนั้น ตาม(๒)ที่นายหัวเขียงเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อสภาได้ ก็หมายความว่า
“นายกฯ” ต้องให้คำรับรองกับร่างนี้แล้วก่อนเสนอ
อุ๊ย…ตกใจไข่หด ถูกจับได้ว่ามาแตหลอ “ทั้งพ่อ-ทั้งลูก” นะแบบนี้!
ผมเชื่อ ร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาซ่อนเร้นทางเจตนาต่อกองทัพขนาดนี้ ลำพังนายหัวเขียง ต่อให้หัวมันมี ๑๐ เขียงแบบทศกัณฐ์
ลำพังตัวเอง มันไม่กล้าเหิมเกริมถึงขั้นนี้หรอก!
แต่ถึงแม้เป็น “หมาในคอก” แต่ก็เป็นหมาแก่วัด-แต่อาวุโส อย่างน้อยต้องรู้ว่า
ไทยนั้น “เอกราช” มาแต่ชาติกำเนิด
โดย “พระมหากษัตริย์” ทรงนำออกรบ “สร้างชาติ-รักษาแผ่นดิน” ดำรงสถานะ “จอมทัพไทย”
ดังนั้น “สถาบันพระมหากษัตริย์” เป็นทั้งเสาเข็ม เป็นทั้งฐานรากประเทศ อาณาประชาราษฎร์เป็นสุข ร่มเย็น อยู่ใต้ระบอบ “สมบูรณณาญาสิทธิราช”
คือระบบ “พ่อปกครองลูก” มานับแต่ก่อเกิดปฐพีไทยผืนนี้ ยาวนานแต่ก่อเกิดจวบ ๑๐ ศตวรรษ
ส่วน “ระบอบประชาธิปไตย” ปัจจุบัน….
มาเมื่อหัวฝนนี่เอง ยังไม่ถึงศตวรรษด้วยซ้ำ บุคคลกลุ่มหนึ่งที่ “พระมหากษัตริย์” ทรงส่งไปร่ำเรียนฝรั่งเศส หวังให้นำความรู้กลับมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง
ได้ไออุ่น กลับรวมหัวกันเนรคุณ
ใช้ชื่อ “คณะราษฎร” เป็นภาพลวงโลก เข้าปล้นลอกคราบเอา “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช” ไปจาก “พระมหากษัตริย์” อันเป็นฐานรากความเป็นชาติไป เมื่อปี ๒๔๗๕
แล้วคณะราษฎร ก็นำ “ระบอบประชาธิปไตย” เป็นเปลือกหุ้มฐานราก ลวงตาไว้
จนจะร้อยปี ……..
แต่อำนาจที่ปล้นไปจากพระมหากษัตริย์ แล้วเวียนกันกินประเทศ ก็ไม่สามารถนำพา “ชาติ-ประชาชน” ให้เจริญก้าวหน้าไปได้ เหนือกว่าที่ “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช” โดยพระมหากษัตริย์ทรงปกครองและบริหาร!
ตรงกันข้าม ประชาชนกลับลำบากยากแค้นในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ
ในขณะที่กลุ่มอำนาจ “ระบอบประชาธิปไตยผูกขาด” กลับอยู่สุข อ้าง “เพื่อประชาชน” แล้ว “ยกโคตร-ยกตระกูล” โกง รวยกันยันหมาในคอก
ข้าราชการ “ส่วนหนึ่ง” กราบตีนตระกูลโกง ก็พากันเจริญยศ เจริญทรัพย์ ชาวบ้านตาบอด ก็พากันพินอบ กราบไหว้
นักการเมือง ข้าราชการกังฉิน อาณาประชาราษฎร์ทั้งแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยวันนี้
ล้วนมีแต่คน “มีเกียรติ-มีศักดิ์ศรี” ในสภาพ “ขอทาน” รอแจก!
ที่ผมสีซอมานี้ เพื่อกระตุกต่อมสำนึกกันว่า ชาติกำเนิดแผ่นดินนี้ ก่อเกิดโดยพระมหากษัตริย์
และ “พระมหากษัตริย์” ทรงดำรงสถานะ “จอมทัพไทย”
ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ รวมทั้ง ฉบับปัจจุบัน มาตรา ๘ ระบุชัด “พระมหากษัติย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย”
ทั้งมาตรา ๒๗ พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม กำหนดไว้หนักแน่น-มั่นคง
“การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลดำรงตำแหน่งให้นำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง”
ความนี้ คนเป็นนายกฯจะตีตั๋วโง่ “อ้างไม่รู้” ไม่ได้
ยิ่งพ่อมันยิ่งรู้
สส.อย่างหัวเขียง เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ คือฝ่ายออกกฎหมาย ถ้าบอกไม่รู้ ต้องตัดหัวโยนให้หมาแทะ!
เมื่อรู้ การบังอาจเสนอกฎหมายประหนึ่ง “ยึดอำนาจกองทัพ” การแต่งตั้งนายพลต้องไปอยู่ในความเห็นชอบนักการเมือง
ก็หมายความว่า การเมืองโดยพรรคเพื่อไทย ต้องการทำให้ “การนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง” นั้น
มีสภาพเป็น “ตรายาง” ของนักการเมืองเท่านั้น!
และตำแหน่ง “จอมทัพไทย” ไม่อยู่ในสายตาของคนพรรคเพื่อไทยเลย
และกองทัพปัจจุบัน ระดับรัฐบาลต้องรู้….
“ทหารบก” นอกจากขึ้นตรงกับ “กองทัพบก” แล้ว ยังมี “หน่วยเฉพาะกิจรักษาพระองค์”
ประกอบด้วย กองพลที่ ๑ รักษาพระองค์, กองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์ และกองพลทหารม้าที่ ๒ รักษาพระองค์
เป็นหน่วยขึ้นตรงกับ “กองบัญชาการทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์”
แล้วการแต่งตั้งระดับนายพลของหน่วยขึ้นตรงเหล่านี้ ต้องให้ผ่านความเห็นชอบนักการเมือง
บังอาจจะเอาขนาดนี้แน่หรือ…ไอ้หัวขวด?!
ทีนี้ มาดูกันว่า เพราะอะไร เพื่อไทยจึง “โยนหินถามทาง” ด้วยการเสนอกฎหมายแบบนี้?
เอ้า….ดูนี่ “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา แถลงวานซืน
๑๔-๑๕ มกรา.๖๘ จะมีการประชุมร่วมสส.-สว.เพื่อพิจารณาระเบียบวาระการประชุม
เกี่ยวกับ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่บรรจุระเบียบวาระแล้ว และยังมีที่เสนอ “ร่างแก้ไขเพิ่มเติม” รายมาตราอีก ๒๐ ฉบับ
ขณะเดียวกัน “รัฐบาล” และ “ฝ่ายค้าน” จะเสนอ “ร่างแก้ไขเพิ่มเติมทั้งฉบับ” อีกครั้งก็ได้!
ประเด็นควรสังเกต เรื่องเดียวที่ทั้งพรรคเพื่อไทย-ฝ่ายรัฐบาล และพรรคประชาชน-ฝ่ายค้าน เห็นร่วมกันและร่วมกันผลักดันมาตลอด
คือ “แก้รัฐธรรมนูญ” ตั้งสสร. “เขียนใหม่” ทั้งฉบับ กะเอาให้เสร็จทันได้ใช้เลือกตั้งปี ๒๕๗๐!
ทำไมจึงมุ่งมั่นฉีกฉบับปัจจุบันแล้วเขียนใหม่ขนาดนั้น?
คำตอบในข้อสังเกตของผมคือ……
เพราะทักษิณต้องการลงเล่นการเมืองเพื่อเป็น “นายกรัฐมตรี” อีกครั้งนั่นเอง!!!
กระทั่งธนาธร ปิยบุตร พิธา ก็เถอะ
แต่ติดเงื่อนไขตามบทบัญญัติใน “รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน”
พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาชน จึงจับมือกัน ผลักดัน แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕๖ ไปสู่การตั้งสสร.เขียนใหม่ทั้งฉบับ
เมื่อเขียนใหม่ แน่นอน ความในมาตรา ๙๘ (๗)ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน ที่ว่า
“เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง ๑๐ ปี นับถึงวันเลือกตั้ง” ก็ต้องไม่มี
มาตรา ๙๘(๙) ที่ว่า “เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เพราะร่ำรวยผิดปกติ
หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก เพราะกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต” ก็ต้องไม่มี ในรัฐธรรมนูญ ฉบับเขียนใหม่
ทักษิณ ก็จะเป็นผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.ได้อีกครั้ง และสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยไม่ขัดต่อข้อห้ามพรรคได้ด้วยเช่นกัน
นี่คือ การปูทางให้ทักษิณ “รีเทิร์น” สู่การเลือกตั้ง เพื่อกลับขึ้นเป็น “นายกฯ” อีกครั้ง!
และถ้าร่างกฎหมายคุมกลาโหมสำเร็จ ทักษิณก็จะเป็นทั้งประธานก.ตร.แต่งตั้งนายพลตำรวจ และเป็นทั้งประธานสภากลาโหม
มีอำนาจตั้งทั้งนายพลตำรวจ ทั้งนายพล ๓ เหล่าทัพ
ถึงตอนนั้น ไทย จะเป็นประชาธิปไตย “สาธารณรัฐ” แยกเหนือ-แยกใต้-แยกอีสาน แบ่งกันไปครอง
แล้วตัวข้า….ทักษิณสถาปนา….
ขึ้นเป็น “ประธานาธิบดี” ของแดงส้มทั้งแผ่นดิน
มันง่าย…เหมือนบีบตูดไก่ แต่ได้ “ขี้” หรือได้ “ไข่” ก็ไม่รู้นะ
รู้แต่ว่า “หมาตายยกโคตร” ก่อนแน่!
เปลว สีเงิน
๑๔ ธันวาคม ๒๕๖