“เชษฐา” ชี้รัฐบาลไทยใช้ยุทธศาสตร์สามมิติ การทูต–กองทัพ–ภาคประชาชน รับมือกัมพูชาอย่างรอบด้าน บีบเขมรขึ้นโต๊ะเจรจา ยอมรับเงื่อนไข ฝ่ายไทย

ผศ.ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น อาจารย์ประจำภาควิชาการบริหารและจัดการเมือง วิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช วิเคราะห์ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยในการรับมือกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า ในช่วงนี้รัฐบาลไทยต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากสถานการณ์ภายในประเทศและกระแสจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับคู่เจรจาที่มักใช้วิธีการหลากหลายเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการบิดเบือนข้อมูล การส่งโดรนล้ำแดน หรือการเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์บนเวทีนานาชาติ ซึ่งทำให้การวางยุทธศาสตร์ของไทยจำเป็นต้องรอบคอบและมีชั้นเชิงมากขึ้น

ในอดีตไทยมักอยู่ในท่าทีตั้งรับ แต่รัฐบาลปัจจุบันพยายามปรับแนวทางจาก “รับ” เป็น “รุก” โดยเน้นการดำเนินงานที่ผสมผสานหลายมิติ ทั้งทางการทูต กลไกด้านความมั่นคง และพลังทางสังคม เพื่อสร้างแรงกดดันเชิงบวกในหลายระดับโดยไม่พาตัวเองเข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรง การทูตของไทยยังคงยึดหลักสากล ใช้ถ้อยคำที่สะท้อนความเป็นรัฐอารยะ เช่น “เคารพอธิปไตย” “ยึดมั่นในความสัมพันธ์ที่ดี” และ “เรียกร้องให้กัมพูชาหยุดยั่วยุ” พร้อมใช้ช่องทางทางการทูตอย่างต่อเนื่อง อาทิ การใช้สิทธิ์ตอบโต้ในเวทีระหว่างประเทศด้วยถ้อยคำที่มีเหตุผลและสุขุม เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของไทยในฐานะประเทศที่มีเหตุผลเหนือกว่า และยึดมั่นในกติกา

ในด้านความมั่นคง รัฐบาลและกองทัพยังคงเดินหน้าเตรียมพร้อม และมีการตอบโต้ หากถูกรุกราน ในระดับที่ไม่ขยายผลไปสู่สงคราม โดยมีการเสริมความเข้มของข่าวกรอง การลาดตระเวนเชิงป้องกัน และการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เสี่ยง โดยปฏิบัติภายใต้ขั้นตอนที่ประสานล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการยั่วยุ การดำเนินการในลักษณะนี้ถือเป็น “สุขุมแต่พร้อม” ซึ่งช่วยสร้างสมดุลระหว่างการป้องกันและการรักษากติกาทางการทูต

นอกจากนี้ ภาคประชาชนและสื่อภายในประเทศยังมีบทบาทสำคัญในฐานะ “พลังอ่อน” ที่ช่วยสร้างแรงกดดันทางสังคมอย่างสันติ รัฐบาลเปิดพื้นที่ให้ประชาชนแสดงออกภายใต้กรอบกฎหมาย เช่น การรวมตัวเชิงสัญลักษณ์หน้าสถานทูตกัมพูชา การรณรงค์ออนไลน์เพื่อแสดงความห่วงใยต่อแผ่นดิน และการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ชายแดน ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของ “Soft Power ภายในประเทศ” ที่ช่วยส่งสารทางจิตวิทยาโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง

ผศ.ดร.เชษฐา ระบุว่า ภาพรวมของรัฐบาลไทยในขณะนี้สะท้อน “ยุทธศาสตร์สามมิติ” ที่ผสมผสานความแข็งและความอ่อนเข้าด้วยกัน คือ การทูตที่มีเหตุผลและอารยะ ความมั่นคงที่สุขุมและอยู่ในกรอบกฎหมาย และพลังทางสังคมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางที่ช่วยให้ไทยสามารถปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติได้ โดยไม่เร่งเร้าให้สถานการณ์บานปลาย และยังคงรักษาภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีนานาชาติอย่างรอบคอบ ที่สุดแล้ว ยุทธศาสตร์ทั้งหมด มีเป้าหมาย ที่ชัดเจน คือ การบีบให้กัมพูชา เข้าสู่วงเจรจา ซึ่งเงื่อนไขทั้งหลาย จะกำหนดโดยไทย ทั้งนี้ เราจะได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น คือ การที่กัมพูชา อ่อนข้อให้ไทย เพราะปัจจุบัน กัมพูชาเอง ได้รับแรงกระแทกอย่างมหาศาล ทางเศรษฐกิจ และโดยธรรมชาติ กัมพูชา เป็นชาติที่พึ่งพาไทยสูงมาก เป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าจากไทยมหาศาล การขาดกำลังซื้อจากไทยไป ส่งผลให้สถานการณ์ในกัมพูชาระส่ำระสาย ตอนนี้ ขึ้นกับเวลาแล้วว่า กัมพูชา จะกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาเมื่อไร เมื่อมาถึงตอนนั้น เท่ากับยุทธศาสตร์ของไทย ได้ผลอย่างสมบูรณ์ /////

Written By
More from pp
ค่า GP คือ “กำไร” ของผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี จริงหรือ?
ผศ.ดร.บุปผา ลาภะวัฒนาพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจค้าปลีกและการสื่อสารการตลาด เมื่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กินเวลาลากยาวกว่าที่คิด มาตรการล็อกดาวน์ไม่มีทีท่าจะคลี่คลายลง ธุรกิจสุดฮอตมาแรงแซงโค้งที่ตีคู่ไปกับยุคโควิด-19 แบบนี้ คงหนีไม่พ้นธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรีหรือบริการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตวิถีใหม่สไตล์ New...
Read More
0 replies on ““เชษฐา” ชี้รัฐบาลไทยใช้ยุทธศาสตร์สามมิติ การทูต–กองทัพ–ภาคประชาชน รับมือกัมพูชาอย่างรอบด้าน บีบเขมรขึ้นโต๊ะเจรจา ยอมรับเงื่อนไข ฝ่ายไทย”