ผักกาดหอม
แม้ข่าวจะสับสน
แต่จบแล้วครับ
เป็นการล่มสลายของระบอบทักษิณอย่างถาวร
ช่วงเย็นมีข่าวว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เตรียมหนีออกจากแผ่นดินไทย แต่โดนรวบที่ดอนเมือง เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เตรียมออกเดินทาง ซึ่งทีมงานอ้างว่าจะไปหัวหิน
ตกค่ำมีข่าวว่า ตม.ไม่มีอำนาจจับกุม จึงปล่อยให้ “ทักษิณ” เดินทางไปตามเป้าหมายที่แจ้งไว้
คือสิงคโปร์
ไปเพื่อเข้าพบแพทย์และตรวจสุขภาพ คงจะยังเป็นผู้ป่วยห่างหมอไม่ได้อยู่
ทีมงานของ “ทักษิณ” บอกว่าไป ๒ วันกลับ
จะเดินทางไปศาลวันที่ ๙ กันยายนนี้แน่นอน
แต่ทันทีที่เครื่องบินส่วนตัวของ “ทักษิณ” เข้าน่านฟ้ามาเลเซีย กลับเลี้ยวขวาออกไปทางเกาะปีนัง มุ่งหน้าเกาะสุมาตรา ก่อนเลี้ยวขวาอีกทีช่วงช่องแคบมะละกา มุ่งหน้ามหาสมุทรอินเดีย ซึ่งผิดวิสัยการใช้เส้นทางบินไปสิงคโปร์
คาดว่า ดูไบ คือปลายทาง
เครื่อง Bombardier Global 7500 ของ “ทักษิณ” พิสัยบินไกล ๑.๔ หมื่นกิโลเมตร ไปถึงดูไบสบายๆ โดยไม่ต้องแวะเติมน้ำมันกลางทาง
อุตส่าห์บินอ้อมเพื่อแหกตา
แต่แล้วช่วง ๓ ทุ่มกว่าหันหัวกลับทางเดิม แล้วบินวนเป็นวงกลมแถวๆ ปลายเกาะสุมาตรา
ไปไหนละทีนี้ ขืนรอดูปิดต้นฉบับไม่ทันแน่นอน
เอาเป็นว่าหนีอีกแล้วครับ!
คนแบบนี้คิดอะไรดีไม่ได้เลยครับ จิตคด ใจทราม มีแต่ความเลวร้าย ทำแม้กระทั่งรู้ว่าจาบจ้วงเบื้องสูงเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจต่อ
ก็ไม่มีอะไรผิดคาดครับ เมื่อ “ภูมิธรรม” จัดให้นายไม่สำเร็จ ทางเลือกเดียวของ “ทักษิณ” คือหนีอีกครั้ง และคราวนี้น่าจะตลอดชีวิต
แลกกับการติดคุก ๑ ปี หรืออาจมากกว่านั้น ซึ่งเป็นผลจากความย่ามใจคิดว่าตัวเองใหญ่คับประเทศ สั่งใครทำอะไรตามใจตัวเองก็ได้
รอวันที่ ๙ กันยายนครับ หากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ชี้ว่าการที่ “ทักษิณ” ไปนอนตากแอร์ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ มิใช่การถูกคุมขัง กรมราชทัณฑ์บังคับโทษมิถูกต้อง ก็เรียบร้อยครับ “ทักษิณ” ได้ติดคุกจริงๆ เสียที
ถึงเวลาที่ต้องชื่นชมพรรคส้มครับ คราวนี้อ่านเกมออก ไม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพราะทุกก้าวย่างของพรรคเพื่อไทยล้วนทำเพื่อการอยู่รอดของ “ทักษิณ”
“…ไม่เสียดายใดๆ และไม่คิดจะกลับไปทบทวนมติที่เกิดขึ้นแล้วแน่นอน จะเดินหน้าเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ…” นั่นคือคำพูดของ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ”
กระแสเสียงความไม่พอใจจากด้อมส้ม และนักวิชาการหอคอยงาช้าง “หัวหน้าเท้ง” ก็ตอบได้ดี
“…เป็นเสียงสะท้อนที่เรายินดีรับฟัง และพร้อมทำความเข้าใจอย่างรอบด้าน รวมถึงพร้อมพิสูจน์ตัวเองในกรอบเวลาต่อจากนี้ ผ่านการทำหน้าที่ทุกอย่าง และวันนี้สิ่งที่ผมและพรรคประชาชนต้องทำ คือความหนักแน่นต่อการตัดสินใจของเรา
ซึ่งเราไม่ได้เพิ่งจะมาตัดสินใจในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่เราเห็นสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ ๒ เดือนที่แล้ว ได้ประเมินและไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบ ก่อนจะออกมาเป็นมติของกรรมการบริหารพรรค
และเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า มติที่ออกไปจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ…”
ใช่ครับ เป็นทางออกที่ดีที่สุดของประเทศแล้ว
เพราะหากผิดไปจากนี้ พรรคประชาชนเองก็จะรับผิดชอบไม่ไหว
ก็คงเห็นความเจ้าเล่ห์ ความเห็นแก่ตัวของพรรคเพื่อไทยไปแล้วนะครับ หลังจากนี้พรรคเพื่อไทยคงจะตามพรรคประชาธิปัตย์ไปติดๆ
กลายเป็นพรรคหลักสิบ
นอกจากอนาคตของ “ทักษิณ” ที่ต้องจับตามองแล้ว อีกคนก็ละสายตาไม่ได้เช่นกัน
นั่นคือ “อนุทิน ชาญวีรกูล”
มีข่าวจากทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่วาระการประชุมสภา ในวันที่ ๕ กันยายน วาระเรื่องด่วนที่ ๘ พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา ๑๕๙ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
คงไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นอีกแล้วสำหรับเส้นทางสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ “อนุทิน”
แต่มีสิ่งที่ต้องจับตามองหลังจากนี้ นั่นคือ จะเป็นนายกฯ ๔ เดือนแล้วยุบสภา
มีหลายประเด็นที่ “อนุทิน” ต้องทำให้สังคมได้เชื่อใจว่า จะไม่มีการตระบัดสัตย์ เพราะรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ มีภารกิจเพื่อยุบสภาเลือกตั้งใหม่เท่านั้น
“อนุทิน” จึงต้องชัดเจนตั้งแต่การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี เต็ม ๓๖ คนรวมทั้งตัวนายกฯ
อย่าให้เกิดภาพเก้าอี้สมมนาคุณ หลายกระทรวงไม่จำเป็นต้องมีรัฐมนตรีช่วยว่าการ
แจกกันครบ ๓๖ มันเอิกเกริกไปครับ
เอาให้ดูสมน้ำสมเนื้อกับการเป็นนายกฯ ๔ เดือน
ที่จริงก็มิใช่ ๔ เดือนเสียทีเดียว
อาจจะเป็น ๕-๖ เดือน บวกเวลาตั้งรัฐบาลกับรักษาการช่วงยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายใน ๔๕-๖๐ วัน
การเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ปีหน้า
หากผิดไปจากนี้ โดย “อนุทิน” เสียสัจจะ อ้างเพื่อชาติ จะเป็นการสับปลับทางการเมืองครั้งใหญ่
ไม่ควรให้อภัย
ส่วนเรื่องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ ตั้ง ส.ส.ร. ต้องใช้งบประมาณหลายพันล้าน ก็ต้องคิดกันให้ดี แม้จะอยู่ในเงื่อนไขที่พรรคส้มเสนอในการโหวตนายกรัฐมนตรีนั้น แต่มันก้ำกึ่ง ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ทำให้นายกรัฐมนตรี ๒ คนหลุดจากเก้าอี้ เพราะไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และละเมิดจริยธรรมร้ายแรงนั้นมีไม่น้อยเช่นกัน
น่าจะมากกว่าที่ต้องการให้ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันหลายเท่าตัว
หาก “อนุทิน” จะบิดพลิ้วเงื่อนไขนี้ ก็ถือเป็นเหลี่ยมคูทางการเมือง
แต่หากไม่ยอมยุบสภาใน ๔ เดือนเพื่อเลือกตั้งใหม่ จะเป็นการตระบัดสัตย์ที่ไม่อาจยอมรับกันได้
วกกลับมาที่ “ทักษิณ” อีกที
โอกาสจะรีเทิร์นเช่นตระกูลมาร์กอสของฟิลิปปินส์นั่น ไม่ง่าย
“พานทองแท้” มิได้มีคุณสมบัติเช่น “มาร์กอส จูเนียร์”
การหนีที่เต็มไปด้วยการโกหกพกลมที่บรรดาลูกสมุนพูดเท็จกันไปคนละทางนั้น ประวัติศาสตร์จะจารึกไว้เป็นการหนีครั้งสุดท้ายของ “ทักษิณ”
ไม่มีโอกาสกลับมาตายที่เมืองไทยอย่างแน่นอนแล้ว
ระบอบทักษิณจะล่มสลาย เพราะฐานการเมืองที่รองรับคือพรรคเพื่อไทย หมดศักยภาพที่จะต่อสู้กับพรรคการเมืองอื่น เนื่องมาจากการสูญสิ้นศรัทธาจากหลายกรณีในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา
สส.จะไหลออกจากพรรคเพื่อไทย อยู่ไปก็ไม่มีอนาคต
ฉากทัศน์การเมืองใหม่หลังจากนี้ จะสู้กันระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย
หวังว่าคงไม่มีระบอบอนุทิน หรือระบอบธนาธร มาดึงแข้งดึงขาประเทศไทยอีก
ให้มันจบที่ระบอบทักษิณ.
