เปลว สีเงิน
การโหวตเลือก “นายกฯ คนใหม่” มันไม่ยากหรอก
ที่ยากคือ….
“การตัดสินใจ” ของพรรคประชาชนที่มี ๑๔๓ เสียง ว่าจะเสี่ยงพวงมาลัยให้ฝ่ายไหน ระหว่างซีก “ภูมิใจไทย” กับซีก “เพื่อไทย?
ถามว่าทำไมถึงตัดสินใจยาก?
คำตอบก็คือ ในความเป็นจริง พรรคการเมืองส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ “ธุรกิจของกลุ่มทุน” ก็จะเป็น “ธุรกิจของตระกูล” แทบทั้งนั้น
ฉะนั้น สส.-นักการเมืองก็แค่ “ลูกจ้าง”
งานประจำวัน ลูกจ้าง ก็ว่ากันไป แต่เรื่องสำคัญๆ ที่ต้องตัดสินใจ อยู่ที่ “เจ้าของธุรกิจ” ไม่ใช่ลูกจ้าง!
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะประชุมสภาวันพรุ่งนี้-ปะรืนนี้ แต่พรรคประชาชน ก็ยังตอบไม่ได้ว่า
จะโหวตให้อนุทิน-ภูมิใจไทยเป็นนายกฯ หรือจะโหวตให้นายชัยเกษม-พรรคเพื่อไทยเป็น!?
ไม่ได้ยินนายธนาธรพูดวันก่อนหรือว่า “นายทักษิณต่อสายคุยเรื่องนี้แล้ว”
ทำไมทักษิณไม่พูดกับ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้เป็นหัวหน้าพรรคประชาชนล่ะ กลับไปพูดกับนายธนาธร ซึ่งเป็นคนผู้มีบารมีนอกพรรค?
มันก็เหมือน “ไก่เห็นตีนงู-งูเห็นนมไก่” นั่นแหละ
ทักษิณก็รู้ว่าธนาธรเป็นผู้มีอำนาจเหนือพรรค เช่นเดียวกัน ธนาธรก็รู้ว่า ทักษิณเป็นผู้มีอำนาจเหนือพรรค
จะเอายังไงกัน มันก็อยู่ที่ “เจ้าของกับเจ้าของ” พรรค เขาจะตกลงกัน
ฝ่ายเพื่อไทย ไม่มีปัญหา ทักษิณเป็นเจ้าของคอก กระตุกโซ่ไปทางไหน ก็วิ่งตามพรูไปทางนั้น
แต่ทางพรรคประชาชน เป็นรุ่นใหม่ไฟแรง จะเรียกว่า “เด็กมีอุดมการณ์” หรือ “เด็กหัวเข็ง” อยู่ระหว่างสั่งสมประสบการณ์ ก็ไม่ผิด
แต่ละคนเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ที่เจ้าของพรรคจะมากระตุกโซ่สั่งอย่างเพื่อไทย คงไม่ง่ายอย่างนั้น มันต้องถกเถียงและโอ้โลม-ปฎิโลมกันเหนื่อยหน่อย
กว่าจะบอกว่า “ก็แล้วแต่นาย”!
ผมเชื่อว่า ทักษิณไม่แค่ต่อสายฉอเลาะธนาธรคนเดียว งานใหญ่เสี่ยงต่อ “การอยู่-การล่มสลาย” ของตระกูลชินทางการเมืองขนาดนี้
“แม่สมพร” ผู้มีอำนาจตัวจริง ก็คงหูฉิ่ง-หูชากับการเจรจาแต่ละรอบเป็นชั่วโมงๆ เหมือนกัน!
ฉะนั้น คุณอนุทินจะลากแตะไปกินห่านพะโล้ชิลๆ ด้วยมั่นอก-มั่นใจยังไม่ได้ซะทีเดียว
ถึงแม้ท่าทีส่วนใหญ่ของคนในพรรคประชาชนจะมีใจให้กับภูมิใจไทยมากกว่ากับเพื่อไทยก็เหอะ
แต่อย่าลืม….
สส.ก็แค่ “ลูกจ้าง” จะเยส-จะโน อยู่ที่ “นายเขาสั่ง” ดูอย่างเมื่อวาน ประชุมพรรคกันทั้งวัน แล้วได้ข้อสรุปซะที่ไหนล่ะ?
ก็เข้าใจ ใครเป็น “พรรคประชาชน” ตอนนี้ มันก็ต้องมีลีลากันบ้าง ใช่ว่ามีใครมาขอแต่งงานก็กระซ่าน คว้าข้อมือเขาหมับ อย่างนั้น มันก็หมดราคาน่ะซี
ก็อยากบอกคุณอนุทินว่า คืนที่ ๗ คาบต่อ ๘ กันยา. ถึงตี ๑ กว่าๆ เกิดจันทรคราส ณ ราศีกุมภ์ ขณะเสาร์ร่วมราหู
ราศีกุมภ์ เป็นภพที่ ๑๑ ของดวงเมือง หมายถึง “รัฐสภา” และมีผลต่อจิตใจประชาชนโดยตรง
เท่าที่ผมฟังอาจารย์ “ภิญโญ พงศ์เจริญ” ให้สัมภาษณ์ไทยโพสต์ออนไลน์ไว้หลายเดือนก่อน ท่านบอกว่า หน้า ๗ หลัง ๗ ต้องระวัง!
หน้า ๗ หลัง ๗ หมายความว่าไง?
ก็หมายความว่า ก่อนถึงวันจันทรคราส ๗ วัน และหลังเกิดจันทรคราสแล้ว ๗ วัน จะตกอยู่ในอิทธิพลของคราส
๓-๕ กันยา. ที่จะโหวตเลือกตัวนายกฯ ก็อยู่ใต้อิทธิพลคราส
อังคารที่ ๙ กันยา. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง ก็จะมีคำสั่งในคดี ป่วยทิพย์ ชั้น ๑๔ ในประเด็นว่า…..
“การบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่?”
นี่ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลคราสเช่นกัน!
ดังนั้น คุณอนุทินต้องทำใจเผื่อด้านความพลิกผันฉับพลันทันใดไว้เลย
เพราะไม่รู้อะไรจะเกิดกับรัฐสภา จับยามสามตาแล้ว ที่เกิดในยามคราสนี้ จะเป็นไปในทางร้ายมากกว่าทางดี
เช่นเดียวกับคำสั่งศาลที่จะออกมาในวันที่ ๙ กันยา. ดูจะไม่เป็นผลดีกับตัวทักษิณ จนผมหวั่นใจว่า
ทักษิณจะอ้างป่วย ไม่ไปศาลตามที่ศาลฯ สั่งก็มีทางเป็นไปได้
หรือไม่ก็ “นั่งเจ็ท” ดั้นเมฆไปไหนซะก็ไม่รู้?!
ได้ยินเพื่อไทยพูดถึงทางเลือก ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็จะเตะชามข้าวให้คว่ำ คือ “ยุบสภา” ไปซะเลย
นักกฎหมายฝ่ายรัฐบาล บอกว่า “นายกฯ รักษาการ” มีอำนาจยุบสภาได้
แต่ “นายปกรณ์ นิลประพันธ์” เลขาฯ คณะกรรมการกฤษฎีกา ยืนยันว่ารักษาการนายกฯ “ไม่มีอำนาจยุบสภาแทนนายกฯ”!
ทั้งนักกฎหมายส่วนใหญ่ ก็บอกไปทางเดียวกันว่า “นายภูมิธรรม-นายกฯ รักษาการ” ไม่มีอำนาจยุบสภา
เกิดปัญหา “สองคนยลตามช่อง” ขึ้นจนได้
จริงๆ แล้ว ในรัฐธรรมนูญ ไม่มีข้อความใดบัญญัติว่า อำนาจยุบสภา เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ในการถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์
มาตรา ๑๐๓ เพียงบอกว่า……
“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”
แต่ตามประเพณีและตามเจตนารมณ์ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ มุ่งตัว “นายกรัฐมนตรี” เท่านั้น มีอำนาจยุบสภาได้ โดยการเสนอเป็นพระราชกฤษฎีกายุบสภา
ครั้นไปดู “พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน”
พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๕๓
มาตรา ๔๑ บอกว่า….
“ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน
ถ้ามีรองนายกรัฐมนตรีหลายคนให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน…….”
และมาตรา ๔๘ บอกว่า….
“ให้ผู้รักษาราชการแทนตามความในพระราชบัญญัตินี้ มีอำ นาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน
ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งใดหรือผู้รักษาราชการแทนผู้ดำรงตำแหน่งนั้นมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทน
ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งมอบหมายหรือมอบอำนาจ……”
สรุปแล้ว มันก้ำกึ่ง อยู่ที่จะตีความแบบแคบหรือแบบกว้าง แต่ก็ไม่เคยปรากฎว่า เคยมี “นายกฯ รักษาการ” คนไหนยุบสภา!?
ถ้าจะมี ตอนนี้แหละ ได้ยิน “นายกฯ รักษาการ-ภูมิธรรม” ฮึ่มๆ ฮั่มๆ ถ้ามันไม่เป็นดั่งใจ ก็ยุบสภามันไปซะเลย
ถ้านายภูมิธรรม “ของขึ้น” เสนอกฤษฎีกายุบสภาขี้นมาจริงๆ
เรื่องนี้ ต้องถึง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตีความอีกจนได้ ว่า…..
“นายกฯ รักษาการมีอำนาจหรือไม่?”
ทีนี้ละยาวเลยแหละ ไทยจะเป็นประเทศ “รัฐบาลเรือลอย”
นายกฯ ก็ไม่มี รัฐบาลใหม่ก็ตั้งไม่ได้ ไม่รู้จะมีกันวัน/เดือน/ปีไหน
แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะ..วุ้ย!?
หรือจะต้องไปใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๕ ที่ว่า….
“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นี่จะหมายถึง พระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป
โดยประธานรัฐสภาทำหน้าที่ถวายคำแนะนำ โดยตรากฎหมายเป็นพระราชกฤฎีกายุบสภา ก็ได้
หรือจะกราบบังคมทูลขอ “นายกฯ พระราชทาน” ก็ได้ สุดแต่จะตีความตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ โดยไม่มีทางตัน
ผมก็ไม่มีความรู้ด้านกฎหมาย พูดไปก็ขยายขี้เท่อ เพียงแต่เก็บความตามที่ผู้รู้เขาแสดงทัศนะกันไว้ แล้วเอามาขายสวนเท่านั้น
ปกติผมเป็นคนโลกสวย…..
แต่เมื่อเห็นเพื่อไทย “สองพ่อลูก” ตระกูลชิน ตกอยู่ในอาการ “ทุกข์ซ้ำ กรรรมซัด วิบัติเป็น” ซ้ำๆ ซ้อนๆ
ลูกสาวก็ตกเก้าอี้ พ่อก็จ่อคุก พรรคก็ถึงยุคตกต่ำ อาจถึงขั้นแตกสลาย ถ้าอกหักจาก “โหวตเลือกนายกฯ” วันที่ ๔-๕ กันยา.
เกิดหน้ามืด “สั่งยุบสภา” ละก็
ประเทศ Go so big เลยละตานี้!
บอกตรงๆ ผมไม่มั่นใจใน “เหตุการณ์บ้านเมือง” ช่วงเดือน-สองเดือนนี้เลย แต่นึกอีกทีก็สบายใจ
ถ้าไม่มีเหตุ “อย่างที่จะเกิด”
บ้านเมืองไทยเรา ก็จะไม่มี “โอกาสได้เกิด”!!!
เปลว สีเงิน
๒ กันยายน ๒๕๖๘
