“สว.-ตร.” ยุค “ปลดแอก” #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

ทำไป-ทำมา….
“๒๐๐ สว.ระบบเลือกกันเอง “คัดท้ายประเทศ” ไว้ใจได้ ดีกว่า “สส.๕๐๐” ที่ประชาชนเลือกเข้าไปทำหน้าที่ในรัฐสภาซะอีก!

ก็ดูซี ตั้งแต่เปิดสภาเข้าปีที่ ๒
มี ๒ เรื่อง ที่ สส.๕๐๐ ฝ่ายรัฐบาลเพื่อไทยและฝ่ายค้านพรรคส้ม พยายามรวมหัวกันทำ

เรื่องแรก แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกมาตรฐานจริยธรรม

เรื่องที่สอง แก้มาตรา ๒๕๖ “ยกเลิก” รัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกง ที่ใช้ทุกวันนี้
แล้ว “ตั้งสสร.” เขียนรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่

ให้เอื้อต่อการ “ชอนไชประเทศ” ตามหลักการ “กัดกร่อนบ่อนเซาะ” ซึ่งต้องใช้งบแผ่นดินเพื่อการนี้ ไม่ต่ำกว่า ๒-๓ หมื่นล้าน!

เป็นการทำเพื่อตัวเอง เข้าข่าย “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ในการเมืองเรื่องเลือกตั้งชัดๆ

“สส.ชาวบ้านเลือกเข้าไป ก็มุ่งหมายให้เข้าไปรักษาผลประโยชน์ชาติและประชาชน
แต่กลับเหมือน “ฝากหมูไว้กับหมา”!

แทนที่จะทำตาม “คำสัตย์สาบาน” ที่ให้ไว้ต่อรัฐสภา ว่า “จะปฎิบัตตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญฉบับนี้”
แต่กลับหาช่อง “รื้อ-ล้ม” รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทุกวิถีทาง

แม้กระทั่ง “พรบ.ประชามติ”
ตรงไหน ทำให้ยากต่อการรื้อ-ล้มรัฐธรรมนูญปราบโกง ก็รวมหัวแก้ตรงนั้น เปิดช่องสู่การ “รื้อ-ล้ม” ได้ง่าย และสะดวกขึ้น!

อย่างเช่น แต่เดิมกำหนดว่า….
การทำประชามติ ต้องมีผู้มาออกเสียง “เกินกึ่งหนึ่ง” ของผู้มีสิทธิออกเสียง

และในจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธินั้น ต้องมีเสียงเห็นชอบด้วยเกินครึ่ง จึงจะถือว่า “ประชามติ” ในเรื่องนั้น…ผ่าน!

เขาเรียกเสียงข้างมาก ๒ ชั้น “Double Majority” นั่นแหละ

ฝ่ายสภาผู้แทน เห็นว่า วิธีนั้น มันยาก เสี่ยงจะทำให้ประชามติตามหัวข้อที่เขากำหนด จะไม่ผ่าน
ก็เลยแก้ให้ง่าย เอาแค่เสียงเกินครึ่งของจำนวนคนออกมาใช้สิทธิ ก็ถือว่า “ประชามติ” ผ่าน

สมมติ คนมีสิทธิออกเสียง ๑๐๐ คน แต่ออกมาใช้สิทธิ์แค่ ๒๐ คน และในจำนวน ๒๐ นั้น เห็นชอบแค่ ๑๑ คน ก็ถือว่าเป็นมติเห็นชอบแล้ว

นี่…สส.ในสภาผู้แทน เขาเอากันอย่างนี้
แต่พอร่างกฎหมายไปถึงวุฒิสภา เมื่อวาน (๓๐ ก.ย.๖๗) ที่ประชุมวุฒิสภา

สว.เสียงส่วนใหญ่ “เห็นชอบ” ตามกรรมาธิการฯ วุฒิสภา
ที่ “แก้กลับ” จากร่างฯ สส.ที่ให้ใช้เสียงลงประชามติชั้นเดียว
สว.ให้กลับไป “เป็นอย่างเดิม”

คือต้องใช้ “เสียงข้างมาก ๒ ชั้น” ในการทำประชามติ!
ฝ่ายรัฐบาล “เจี้ยวใหญ่” เลย!

เพราะเมื่อถูกตีกลับ ก็ต้องตั้งกรรมาธิการร่วม ๒ สภา นั่นจะทำให้ทุกอย่างที่รัฐบาลล็อกสเปกไว้…พังหมด!

เมื่อร่างพรบ.ประชามติ “สะดุดตีนสว.” ที่หวังว่าปิดสมัยประชุมตุลา.นี้เสร็จทันแน่ ก็ไม่ทันแน่ไปแล้ว

ส่งผลให้ทำประชามติเรื่องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กะว่าจะทำพร้อมเลือกอบจ.เดือนกุมภา.๖๘ ก็ยังทำไม่ได้

เมื่อทำไม่ได้….
แผนที่กะว่า เลือกตั้งสส.ปี ๒๕๗๐ จะได้ใช้กติกาตามรัฐธรรมนูญ ฉบับเขียนใหม่ จากฉบับปราบโกง เป็นฉบับเอื้อโกง
ก็อด!

ผมว่า…ถ้ารัฐบาลเพื่อไทยมีบุญวาสนาอยู่ครบเทอม จนได้เลือกตั้งปี ๗๐ ตามที่หวังละก็
ก็ต้องกัดฟัน เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญปราบโกง ที่เข้มข้นด้วย “มาตรฐานจริยธรรม” ต่อไปตามเดิม!

ก็ต้องขอบคุณ “สว.กล่องสุ่ม” ทั้ง ๒๐๐ ท่าน สว.ชุดนี้ ยี้กันตั้งแต่วินาทีแรก

“สว.สีน้ำเงิน” พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าเหล่าท่าน คือสว. “พิทักษ์ประโยชน์ชาติและประชาชน”
พวกท่านได้ใจประชาชนไปเต็มๆ

ขอเกริ่นไว้แค่นี้ก่อน ไว้ลงรายละเอียดวันหลัง มีสว.หลายท่าน ประทับใจผมมาก ที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง
เพราะวันนี้ อยากคุยเรื่องการแต่งตั้งผบ.ตร.คนที่ ๑๕ ซักนิด เนื่องจากเมื่อวาน (๓๐ ก.ย.)

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธี “อำลาตำแหน่งผบ.ตร.”
โดย “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ส่งมอบงานในตำแหน่งต่อผบ.ตร.คนใหม่ ผ่าน “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์” ไปแล้ว

แต่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยังอยู่ในฐานะ “ผู้รักษาการในตำแหน่งผบ.ตร.” เท่านั้น เนื่องจาก ขณะนี้ ยังไม่มีการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่

จันทร์ที่ ๗ ตุลา.นี่แหละ เห็นมีกำหนดการออกมาแล้ว นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะ “ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ” (ก.ตร.)

นัดประชุม ก.ตร.นัดพิเศษ เพื่อคัดเลือกสู่การแต่งตั้ง “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”คนใหม่

๑ ใน ๓ นายนี้แหละ นายใด-นายหนึ่ง จะได้รับเลือกเป็นผบ.ตร.คนที่ ๑๕ ไล่ตามลำดับอาวุโส ดังนี้

-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.
-พล.ต.อ. ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจ
-พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร.

ประเด็นที่จะคุยก็มีว่า เรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็มีคนสร้างเชิงเสี้ยมให้เกิดความสับสนเป็นเรื่องขึ้นในหมู่ “คนไม่รู้เรื่อง” จนได้

ก่อนอื่น ให้เข้าใจตรงกันว่า นับแต่ปีนี้…….
การแต่งตั้งนายตำรวจ โดยเฉพาะตำแหน่ง ผบ.ตร.นั้น การเมืองจะล้วงลูก เอาเด็กในคาถาขึ้นมาตั้งตามใจชอบเหมือนเดิม ทำแทบไม่ได้แล้ว

เพราะ “พรบ.ตำรวจแห่งชาติ พศ.๒๕๖๕” ว่าด้วยการปฎิรูปตำรวจที่ทำสมัย “รัฐบาลพลเอกประยุทธ์” เริ่มใช้ปีนี้

ทั้งมี “กฎ ก.ตร.” ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ยึดระบบคุณธรรม ใช้ความเที่ยงธรรมในการแต่งตั้ง ซึ่งมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่ ๒ ตุลา.นี้ด้วย

ดังนั้น เทวดา “เหนือคุก” ได้
จะเหนือ “พรบ.ตำรวจ” และ “กฎ ก.ตร.” ด้วยก็ได้ แต่คนลงชื่อแต่งตั้ง จะต้องติดคุกแทน!

คือ ช่วงนี้ มีคนปล่อยข่าวลือ ว่า……..
มีพล.ต.ท.นายหนึ่ง สาย “เทวดาเหนือคุก” เป็นม้ามืดเข้าสอดชิง อาจคว้าเก้าอี้ผบ.ตร.ไปรองตูดแทนนายตำรวจ ๓ นายนั้นก็เป็นได้!

ข่าวสไตล์ “เด็กเลี้ยงแกะ” แบบนี้ ไม่ต้องไปฟังหรอก คือเขาอ้างเป็นตุเป็นตะ

๗ ตุลา.นี้ จะยังไม่ตั้งผบ.ตร.แต่จะให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รักษาการไปก่อน

รอให้ พล.ต.ท.นายนั้น เลื่อนจากผู้ช่วยผบ.ตร.ขึ้นไปอยู่ในแถว “รองผบ.ตร.” ติดยศ “พล.ต.อ.” ก่อน

แล้วผู้ครอบครองนายกฯ ก็จะสั่งให้ตั้ง “เด็กในคาถา” ผู้ภักดีโจรนายนี้แหละ แซงขึ้นเป็นผบ.ตร. “คนที่ ๑๕”

ใครอยากให้นมลูกในคุก…ก็เชิญตามสบาย ผมไม่ว่า!

แต่ พรบ.ตำรวจ มาตรา ๗๗ และมาตรา ๗๘ เขาว่า

“มาตรา ๗๗” การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่ง ให้แต่งตั้งตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

(๑) ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจ ยศพลตำรวจเอก ซึ่งดำรงตำแหน่ง จเรตำรวจแห่งชาติ หรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

มาตรา ๗๘ …..
(๑) การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา ๗๗ (๑) ให้นายกรัฐมนตรี คัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๗๗ (๑)

โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปราม

เสนอ ก.ตร.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน
แล้วให้นายกรัฐมนตรี นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

เนี่ย…พรบ.ตำรวจ “ฉบับปฎิรูป” วางระเบียบ-จัดแถว ผู้มีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกเป็นผบ.ตร.ไว้เป๊ะๆ อย่างนี้

จะไปอัดแก๊สเข้าตูด พล.ต.ท.ให้เบ่งพองเป็น พล.ต.อ.มาเข้าแถวชิงด้วย ทำได้ก็เชิญ

แต่แหกตาดูให้ชัด การตั้งผบ.ตร.มาตรา ๗๘(๑)นั้น ระบุไว้ชัด….
ให้ “นายกฯ” เป็นผู้คัดเลือกรายชื่อ โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถ
ไม่ใช่ตั้งได้เองทันทีเลยนะ

นายกฯ ต้อง “เสนอ ก.ตร.” พิจารณาก่อน ว่าคนที่เสนอนั้น เป็นไปตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบหรือไม่

เมื่อก.ตร. “เห็นชอบ” ด้วยเท่านั้น นายกฯ จึงจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งได้

เห็นมั้ย….
การแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่นี้ ๗ ตุลา.ใช่ว่าผู้ครอบครองนายกฯ สั่งให้ตั้งคนไหน ใช่ว่าจะตั้งได้

เพราะนอกจากนายตำรวจคนนั้น ต้องอาวุโสถึงแล้ว
ยังจะต้องผ่านด่าน “ก.ตร.” ก่อนอีกชั้นด้วย

ถึงผ่านด่านนายกฯ แต่ไม่ผ่านด่านก.ตร.ก็ตั้งไม่ได้!

ฉะนั้น คนหน้ามืด เลิกคิดวิตถาร เรื่อง “ผบ.ตร. ม้ามืด” ไปได้เลย

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร์” นั่นแหละ เข้าตามตรอก-ออกตามประตู
แต่งตั้งเป็นผบ.ตร.แล้ว สตช.จะได้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

ตำรวจทุกคน จะได้มีกิน-มีใช้ โดยไม่ต้องเป็นโจรรับใช้นาย และไม่ต้องไต่เต้า-ไต่ตีนคนแวดวงนาย ขึ้นไปเป็นใหญ่ในเครื่องแบบสีกากี

ที่ชาวบ้านเรียกคนในเครื่องแบบ “สีกาลี” อยู่ทุกวันนี้!

ก.ตร….ชุดนี้
ขอให้เป็น “คณะกรรมการชำระล้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้สำเร็จซักทีเถอะ ผมจะอนุโมทนา

เพื่อตำรวจทุกนาย จะได้มีหวัง-มีกำลังใจ ว่าซื่อสัตย์ต่อหน้าที่-มีคุณธรรมในการใช้กฎหมายกับประชาชนแล้ว

“ซื่อสัตย์และคุณธรรม” นั้น……
จะมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่กว่าการ “เก็บส่วยส่งนาย” แทนการ “ตามโค้งนายและหิ้วชายกระโปรง” เป็นร้อยเท่า

ตำรวจไทยต่อจากนี้ จะได้พ้นคำว่า “ตำรวจในแอ่งตีนเทวดา” ซะที!

เปลว สีเงิน
๑ ตุลาคม ๒๕๖๗

Written By
More from plew
“ก้าวไกล” กับ “คนรุ่นใหม่” – เปลว สีเงิน
เปลว สีเงิน “พรรคก้าวไกล” ที่น่ารำคาญมาก! จะพูดว่าเป็น “ตัวบูด” ของระบบรัฐสภาก็ไม่ผิดซะทีเดียว พูดถึงพรรคการเมือง “นิยมซ้าย”
Read More
0 replies on ““สว.-ตร.” ยุค “ปลดแอก” #เปลวสีเงิน”