เดือนสิงหา.ฌาปนกิจ #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

๑ กรกฏา. “หวยออก”

แทงคนเดียว แต่ลุ้นตัวโก่งกันทั้งประเทศ เพราะคนแทงคือ

“นายกฯ อุ๊งอิ๊ง”

แทงทั้งหวยรัฐบาล ที่กินมากกว่าแบ่ง

และแทงทั้งหวยศาลรัฐธรรมนูญ ที่เที่ยงตรง-แม่นยำ ใครก็ล็อกไม่ได้

ผู้สันทัดกรณีด้านหวยให้ความเห็นไปทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ว่า โอกาสที่ศาลจะรับคำร้อง ๓๖ สว.มีมากกว่า ๘๐-๙๐%

ถ้าศาลฯ รับคำร้องแล้ว จะมีคำสั่งให้อุ๊งอิ๊ง “หยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราว” หรือไม่นั้น

ในประเด็นนี้ ผู้สันทัดกรณีมีความเห็นก้ำกึ่งกัน แต่เหลื่อมไปทาง “ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่” นิดๆ!

เพื่อความเอนจอยในการลุ้น ก็มาดูคำร้อง ๓๖ สว.ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยส่งผ่านประธานวุฒิสภา ตรงประเด็นสำคัญๆกันหน่อย

คำกล่าวหานายกฯอุ๊งอิ๊ง ตามคำร้อง ๓๖ สว.มีว่า…..

พฤติการณ์ของนายกฯ เข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เช่น

รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐

มาตรา ๕๐ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ

มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต….ฯลฯ

มาตรา ๑๖๔ (๑) และ (๔) (ครม. ต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย

และมีความรอบคอบและระมัดระวังในการดําเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม

สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุกและสามัคคีปรองดองกัน

ประมวลกฎหมายอาญา

หมวด ๒ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน ราชอาณาจักร

หมวด ๓ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร

เช่น ฐานเป็นกบฏ หรือคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทําการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศหรือที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ หรือร่วมเป็นข้าศึกของประเทศ

มาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมและมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

และ ๓๖ สว.ขอให้ศาลฯมีคำวินิจฉัยใน ๒ ข้อ คือ

๑.ให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง(น.ส.แพทองธาร ชินวัตร)สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐(๔) และ (๕)

(ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์)

(มีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง)

๒.ให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

เนื่องจากปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า “ผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์ส่วนตัวและแอบเจรจากับประธานวุฒิสภากัมพูชาในลักษณะเป็นภัยภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยของไทย

อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง และยากแก่การเยียวยาในภายหลัง

ดังนั้น เพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้ที่จะถึง ประกอบกับคำร้องของผู้ร้องมีเหตุอันมีน้ำหนักที่ศาลจะวินิจฉัยให้เป็นไปตามคำร้อง

จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการเป็นการชั่วคราว โดยสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

หลักฐานความผิดนายกฯ ในคำร้องเน้นประเด็นการสนทนาระหว่างนายกฯอุ๊งอิ๊งกับนายฮุนเซน ดังนี้

-“ไม่อยากให้ uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเราเพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาค ๒ อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย

ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือว่าโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ”

-“เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ”

-“บอกว่าจริง ๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้”และ

-“จริงๆ แล้วท่านจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าว ก็คือไม่เป็นข่าว อันนั้นที่หลุดไป มันหลุดเพราะสื่อ เพราะไม่ได้คุยกับอิ๊งแค่ 2 คน มันคุยกันเป็นกลุ่มนะพี่ มันเลยหลุดน่ะ แต่ถ้าคุยกับอิ๊ง 2 คน มันไม่มีหลุดอยู่แล้ว”

นอกจากนี้ ในคำร้องยังระบุว่า…..

“ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว

และเรียกผู้นำประเทศที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า “uncle”

เรียกแม่ทัพภาคที่ ๒ ว่า “ฝั่งตรงข้าม”

และจากการปะทะกันที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อ ๒๘ พ.ค.ซึ่งนำมาสู่ความเคลื่อนไหวของกัมพูชาในหลายกรณี

แต่นายกฯ ไทยกลับ “ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว-นิ่งเฉย-ไม่กำหนดมาตรการใดให้มีความชัดเจน”

ไม่ว่าจะเป็นกรณีการต่อต้านสินค้าและภาพยนตร์ไทย, การตัดอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากประเทศไทย, การยื่นเรื่องฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

การถูกสื่อมวลชนตั้งคำถามในทำนองว่า “ทางกัมพูชาได้มีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาแล้ว ๒๐๐ เมตร”

รวมทั้งตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุน เพื่อให้ผู้ถูกร้องชี้แจง

แต่ผู้ถูกร้องกลับโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้!

นั่นทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยว่า เหตุใดนายกฯ ไทย จึงแสดงออกถึงความนิ่งเฉย

และไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการโต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ

ที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศพึงกระทำ

จนกระทั่งผู้นำฝ่ายกัมพูชานำคลิปเสียงสนทนาส่วนตัวมาเผยแพร่ จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้ สว. และคนไทยเข้าใจแล้วว่า

“นายกฯไทย” ผู้ถูกกล่าวหา นิ่งเฉย….

เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว”!

จากพฤติการณ์และความผิดทั้งหมดนี้ จึงถือได้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

และอาจกล่าวได้ถึงขนาดว่า……

“ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติและประชาชนเลย รวมทั้งฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง

เมื่อทราบคำร้องหรือคำฟ้องแล้ว วันนี้ก็ตามดูกันว่า ๙ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ท่านจะพิจารณาวินิจฉัยอย่างไร?

-จะเลื่อนการพิจารณา โดยขอหลักฐานเพิ่มเติม

-หรือไม่เลื่อน มีคำพิจารณาวินิจฉัยออกมาเลยในวันนี้!?

ถ้าศาลฯ มีคำพิจารณาวินิจฉัยวันนี้ ปิดประตูตายในประเด็นตีตกคำร้อง

ฉะนั้น ฟันธงได้เลย…..

ถ้าไม่เลื่อน ศาลฯ จะมีคำสั่ง “รับคำร้อง” ๑๐๐%”

แต่จะให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่ ก็มีเฉพาะตรงนี้เท่านั้น ที่ต้องลุ้น!

ลุ้นเรื่องนี้ยังไม่ “ตัวเกร็ง” ตั้งแต่ทำเนียบยันรัฐสภาเท่าเรื่องที่ “นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์” ไปยื่นเรื่อง ป.ป.ช.เมื่อเดือนเมษา.

ว่า……

“พบการกระทำความผิดของคณะรัฐมนตรีและกรรมาธิการงบประมาณของ สส. และ สว.

กระทำความผิดในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ไปตัดงบประมาณ เกี่ยวกับเรื่องการให้เงินกู้ ที่กฎหมายมีการบังคับเอาไว้

ประเด็นแรก พบปรากฏว่า ได้ผ่านวาระ ๑ เข้าไปแล้ว แต่ต่อมา ครม.มีมติตัดงบประมาณ ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่มีการให้ไปกู้ตามมาตรา ๒๘ เอามาใช้ในกิจกรรมและต้องชดใช้ดอกเบี้ยพร้อมเงินกู้

ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า “ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว”

ประเด็นที่สอง กรรมาธิการงบประมาณฯก็รู้ ในการประชุมครั้งที่ ๓๘ มีการถกเถียงกันถึงมาตรา ๑๔๔

แต่ต่อมาก็ให้ผ่านงบประมาณ

ซึ่งในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าให้ สส.และสว.ถอดถอนงบประมาณนี้

และยังเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ระบุไว้ว่า

“แม้แต่ ครม.รู้ว่ามีการกระทำ แต่ไม่ยับยั้ง จึงให้ถอดถอน ครม.ทั้งคณะ”

และยังเป็นครั้งแรกที่ให้อำนาจป.ป.ช.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อถอดถอน ครม.,สส. และ สว.หากเห็นว่า “เรื่องดังกล่าวมีมูล”

ทั้งให้เรียกเก็บเงินทั้งหมดที่เอาไปทำเสียหายคืนแก่แผ่นดิน ภายใน ๒๐ ปี

ทั้งหมดนี้ จึงมายื่นให้ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการต่อไป

ปรากฏว่า เมื่อ ๙ มิ.ย.๖๘ ป.ป.ช.มีมติ “รับเรื่อง” ไว้สอบสวน!

เมื่อรับเรื่อง ตามรัฐธรรมนูญบอก ป.ป.ช.ต้องสอบสวนให้เสร็จภายใน ๖๐ วัน จากนั้น ให้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญทันที

รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔ บอกว่า เมื่อศาลฯ รับเรื่องจากป.ป.ช.แล้ว

“ต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว”

ก็นับไปซี  ๙ มิ.ย. ป.ป.ช.รับเรื่องพิจารณา  ๙ สิงหา. เป็นเส้นตาย ป.ป.ช.ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

ภายใน ๑๕ วัน ศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำพิจารณาวินิจฉัย ก็หมายความว่า ไม่เกิน ๒๕ สิงหา……ได้รู้กัน

ว่าจะตายเหมาทำเนียบ-เหมารัฐสภา คือทั้งครม.ทั้งสส.และทั้งสว.ประเทศถึง “ทางตัน” ในทางการเมือง เพราะไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญระบุบ่งเป็นทางไปขนาดนั้นหรือไม่?

ถ้าถึงขนาดนั้น….

ก็ต้องนำ วรรคสอง ในมาตรา ๕ ของรัฐธรรมนูญ มาใช้เป็นทางออกของประเทศ ซึ่งมีความว่า…..

“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ฉะนั้น ๒ เดือนนี้ “กรกฎา-สิงหา”

จะเป็นเดือน “ชี้ชะตา-อนาคตประเทศ” ว่าจะไปทางไหน มีหน้าตาเป็นอย่างไร?

เรื่องรัฐบาลเพื่อไทย เรื่องปรับครม. เรื่องอุ๊งอิ๊งจะอยู่-จะไป มันกลายเป็นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ที่มนุษย์ยังโง่อยู่….”

จะเช้ย..เชย ถ้าใครยังพูดถึง!

-เปลว สีเงิน

Written By
More from plew
ตรรกะ “ตลบตะแลง” ของธร
ผมไม่เห็นว่า “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นบุคคลอันตรายต่อสังคมประเทศมาก่อน แต่ตอนนี้…..”เห็นแล้ว”! จากคลิปในโซเชียลมีเดีย เมื่อวาน(๘ กย.๖๒) ขณะที่ คนทั้งบ้าน-ทั้งเมือง สาละวน...
Read More
0 replies on “เดือนสิงหา.ฌาปนกิจ #เปลวสีเงิน”