เปลว สีเงิน
๑ กรกฏา. “หวยออก”
แทงคนเดียว แต่ลุ้นตัวโก่งกันทั้งประเทศ เพราะคนแทงคือ
“นายกฯ อุ๊งอิ๊ง”
แทงทั้งหวยรัฐบาล ที่กินมากกว่าแบ่ง
และแทงทั้งหวยศาลรัฐธรรมนูญ ที่เที่ยงตรง-แม่นยำ ใครก็ล็อกไม่ได้
ผู้สันทัดกรณีด้านหวยให้ความเห็นไปทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ว่า โอกาสที่ศาลจะรับคำร้อง ๓๖ สว.มีมากกว่า ๘๐-๙๐%
ถ้าศาลฯ รับคำร้องแล้ว จะมีคำสั่งให้อุ๊งอิ๊ง “หยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราว” หรือไม่นั้น
ในประเด็นนี้ ผู้สันทัดกรณีมีความเห็นก้ำกึ่งกัน แต่เหลื่อมไปทาง “ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่” นิดๆ!
เพื่อความเอนจอยในการลุ้น ก็มาดูคำร้อง ๓๖ สว.ที่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยส่งผ่านประธานวุฒิสภา ตรงประเด็นสำคัญๆกันหน่อย
คำกล่าวหานายกฯอุ๊งอิ๊ง ตามคำร้อง ๓๖ สว.มีว่า…..
พฤติการณ์ของนายกฯ เข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เช่น
รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐
มาตรา ๕๐ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ
มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต….ฯลฯ
มาตรา ๑๖๔ (๑) และ (๔) (ครม. ต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย
และมีความรอบคอบและระมัดระวังในการดําเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม
สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุกและสามัคคีปรองดองกัน
ประมวลกฎหมายอาญา
หมวด ๒ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายใน ราชอาณาจักร
หมวด ๓ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร
เช่น ฐานเป็นกบฏ หรือคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทําการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศหรือที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ หรือร่วมเป็นข้าศึกของประเทศ
มาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมและมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และ ๓๖ สว.ขอให้ศาลฯมีคำวินิจฉัยใน ๒ ข้อ คือ
๑.ให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง(น.ส.แพทองธาร ชินวัตร)สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗๐ วรรคหนึ่ง (๔) ประกอบมาตรา ๑๖๐(๔) และ (๕)
(ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์)
(มีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง)
๒.ให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
เนื่องจากปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า “ผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์ส่วนตัวและแอบเจรจากับประธานวุฒิสภากัมพูชาในลักษณะเป็นภัยภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยของไทย
อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง และยากแก่การเยียวยาในภายหลัง
ดังนั้น เพื่อป้องกันความรุนแรงอันใกล้ที่จะถึง ประกอบกับคำร้องของผู้ร้องมีเหตุอันมีน้ำหนักที่ศาลจะวินิจฉัยให้เป็นไปตามคำร้อง
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการหรือวิธีการเป็นการชั่วคราว โดยสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
หลักฐานความผิดนายกฯ ในคำร้องเน้นประเด็นการสนทนาระหว่างนายกฯอุ๊งอิ๊งกับนายฮุนเซน ดังนี้
-“ไม่อยากให้ uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเราเพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาค ๒ อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย
ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือว่าโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ”
-“เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ”
-“บอกว่าจริง ๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้”และ
-“จริงๆ แล้วท่านจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าว ก็คือไม่เป็นข่าว อันนั้นที่หลุดไป มันหลุดเพราะสื่อ เพราะไม่ได้คุยกับอิ๊งแค่ 2 คน มันคุยกันเป็นกลุ่มนะพี่ มันเลยหลุดน่ะ แต่ถ้าคุยกับอิ๊ง 2 คน มันไม่มีหลุดอยู่แล้ว”
นอกจากนี้ ในคำร้องยังระบุว่า…..
“ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว
และเรียกผู้นำประเทศที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า “uncle”
เรียกแม่ทัพภาคที่ ๒ ว่า “ฝั่งตรงข้าม”
และจากการปะทะกันที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อ ๒๘ พ.ค.ซึ่งนำมาสู่ความเคลื่อนไหวของกัมพูชาในหลายกรณี
แต่นายกฯ ไทยกลับ “ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว-นิ่งเฉย-ไม่กำหนดมาตรการใดให้มีความชัดเจน”
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการต่อต้านสินค้าและภาพยนตร์ไทย, การตัดอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าจากประเทศไทย, การยื่นเรื่องฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
การถูกสื่อมวลชนตั้งคำถามในทำนองว่า “ทางกัมพูชาได้มีการรุกล้ำพื้นที่เข้ามาแล้ว ๒๐๐ เมตร”
รวมทั้งตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุน เพื่อให้ผู้ถูกร้องชี้แจง
แต่ผู้ถูกร้องกลับโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้!
นั่นทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความสงสัยว่า เหตุใดนายกฯ ไทย จึงแสดงออกถึงความนิ่งเฉย
และไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการโต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ
ที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศพึงกระทำ
จนกระทั่งผู้นำฝ่ายกัมพูชานำคลิปเสียงสนทนาส่วนตัวมาเผยแพร่ จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้ สว. และคนไทยเข้าใจแล้วว่า
“นายกฯไทย” ผู้ถูกกล่าวหา นิ่งเฉย….
เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว”!
จากพฤติการณ์และความผิดทั้งหมดนี้ จึงถือได้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
และอาจกล่าวได้ถึงขนาดว่า……
“ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติและประชาชนเลย รวมทั้งฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง
เมื่อทราบคำร้องหรือคำฟ้องแล้ว วันนี้ก็ตามดูกันว่า ๙ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ท่านจะพิจารณาวินิจฉัยอย่างไร?
-จะเลื่อนการพิจารณา โดยขอหลักฐานเพิ่มเติม
-หรือไม่เลื่อน มีคำพิจารณาวินิจฉัยออกมาเลยในวันนี้!?
ถ้าศาลฯ มีคำพิจารณาวินิจฉัยวันนี้ ปิดประตูตายในประเด็นตีตกคำร้อง
ฉะนั้น ฟันธงได้เลย…..
ถ้าไม่เลื่อน ศาลฯ จะมีคำสั่ง “รับคำร้อง” ๑๐๐%”
แต่จะให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ชั่วคราวหรือไม่ ก็มีเฉพาะตรงนี้เท่านั้น ที่ต้องลุ้น!
ลุ้นเรื่องนี้ยังไม่ “ตัวเกร็ง” ตั้งแต่ทำเนียบยันรัฐสภาเท่าเรื่องที่ “นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์” ไปยื่นเรื่อง ป.ป.ช.เมื่อเดือนเมษา.
ว่า……
“พบการกระทำความผิดของคณะรัฐมนตรีและกรรมาธิการงบประมาณของ สส. และ สว.
กระทำความผิดในรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ ซึ่งต้องห้ามไม่ให้ไปตัดงบประมาณ เกี่ยวกับเรื่องการให้เงินกู้ ที่กฎหมายมีการบังคับเอาไว้
ประเด็นแรก พบปรากฏว่า ได้ผ่านวาระ ๑ เข้าไปแล้ว แต่ต่อมา ครม.มีมติตัดงบประมาณ ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่มีการให้ไปกู้ตามมาตรา ๒๘ เอามาใช้ในกิจกรรมและต้องชดใช้ดอกเบี้ยพร้อมเงินกู้
ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า “ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว”
ประเด็นที่สอง กรรมาธิการงบประมาณฯก็รู้ ในการประชุมครั้งที่ ๓๘ มีการถกเถียงกันถึงมาตรา ๑๔๔
แต่ต่อมาก็ให้ผ่านงบประมาณ
ซึ่งในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าให้ สส.และสว.ถอดถอนงบประมาณนี้
และยังเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ระบุไว้ว่า
“แม้แต่ ครม.รู้ว่ามีการกระทำ แต่ไม่ยับยั้ง จึงให้ถอดถอน ครม.ทั้งคณะ”
และยังเป็นครั้งแรกที่ให้อำนาจป.ป.ช.ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อถอดถอน ครม.,สส. และ สว.หากเห็นว่า “เรื่องดังกล่าวมีมูล”
ทั้งให้เรียกเก็บเงินทั้งหมดที่เอาไปทำเสียหายคืนแก่แผ่นดิน ภายใน ๒๐ ปี
ทั้งหมดนี้ จึงมายื่นให้ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการต่อไป
ปรากฏว่า เมื่อ ๙ มิ.ย.๖๘ ป.ป.ช.มีมติ “รับเรื่อง” ไว้สอบสวน!
เมื่อรับเรื่อง ตามรัฐธรรมนูญบอก ป.ป.ช.ต้องสอบสวนให้เสร็จภายใน ๖๐ วัน จากนั้น ให้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญทันที
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๔ บอกว่า เมื่อศาลฯ รับเรื่องจากป.ป.ช.แล้ว
“ต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว”
ก็นับไปซี ๙ มิ.ย. ป.ป.ช.รับเรื่องพิจารณา ๙ สิงหา. เป็นเส้นตาย ป.ป.ช.ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย
ภายใน ๑๕ วัน ศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำพิจารณาวินิจฉัย ก็หมายความว่า ไม่เกิน ๒๕ สิงหา……ได้รู้กัน
ว่าจะตายเหมาทำเนียบ-เหมารัฐสภา คือทั้งครม.ทั้งสส.และทั้งสว.ประเทศถึง “ทางตัน” ในทางการเมือง เพราะไม่มีบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญระบุบ่งเป็นทางไปขนาดนั้นหรือไม่?
ถ้าถึงขนาดนั้น….
ก็ต้องนำ วรรคสอง ในมาตรา ๕ ของรัฐธรรมนูญ มาใช้เป็นทางออกของประเทศ ซึ่งมีความว่า…..
“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ฉะนั้น ๒ เดือนนี้ “กรกฎา-สิงหา”
จะเป็นเดือน “ชี้ชะตา-อนาคตประเทศ” ว่าจะไปทางไหน มีหน้าตาเป็นอย่างไร?
เรื่องรัฐบาลเพื่อไทย เรื่องปรับครม. เรื่องอุ๊งอิ๊งจะอยู่-จะไป มันกลายเป็นเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ที่มนุษย์ยังโง่อยู่….”
จะเช้ย..เชย ถ้าใครยังพูดถึง!
-เปลว สีเงิน