คลิกฟังบทความ…?
เปลว สีเงิน
วันนี้………
ศุกร์ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๖ ตรงกับ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๕ เป็นปีเถาะ
“นางสงกรานต์” นามว่า “กิมิทาเทวี”
ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี
อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จนั่งมาเหนือหลังมหิงสา คือมีควายเป็นพาหนะ
เป็น “วันมหาสงกรานต์”
แดดแจ่มจ้า ฟ้าแจ่มใส ชาวดินทั้งไทย-ทั้งเทศ ที่หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวสงกรานต์บ้านเมืองไทย ร้อนกาย แต่ใจชื่นฉ่ำชุ่มบานถ้วนหน้า
แผ่นดินไทยคือสวรรค์บนดิน
ฉะนั้น เถลิงศก-เถลิงสุข สนุกกันให้เต็มที่ แต่พวกเรา “เจ้าของบ้าน” จงเล่นสงกรานต์โดยรักษากรอบวัฒนธรรมประเพณีเอกลักษณ์ “สงกรานต์ไทย” ไว้ให้ดี
เพราะการเล่นสงกรานต์ปีนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวชี้ขาด ว่าด้วยเอกลักษณ์เด่นทางอารยะวัฒนธรรมประเพณีไทย
“ยูเนสโก”……..
พร้อมจะขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ไทย” เป็น “มรดกโลก” ด้านวัฒนธรรมหรือไม่?
เดือนธันวา. “ปลายปีนี้” พวกเราช่วยกันลุ้นไปกับกระทรวงวัฒนธรรมให้สำเร็จ…สำเร็จ เพื่อผองไทยเราทุกคนนะ
สำหรับผม ไม่มีโอกาสได้ไปเล่นสงกรานต์กับเขาหรอกเพราะพรรคพวก “ทิ้งสำนักงาน” หนีไปเกลี้ยงตั้งแต่ ๑๒ เมษา.แล้ว
หน้าที่ “เฝ้าสำนักงาน” จึงตกอยู่ที่ผม
เมื่อวานมาทำงาน…….
แทบเผ่นกลับไปเอาผ้ายันต์ที่บ้าน เพราะสำนักงานที่เคยเจี๊ยว มันเหงาเงียบจนวังเวง ทั้งชั้น เหลือผมโด่เด่ จนหลังเย็นวูบ!
โชคดี จะเรียกว่าด้วยบุญวาสนาก็เป็นได้ ไทยโพสต์ขนาบด้วยเพื่อนบ้านที่อบอุ่น ทั้งใจดี มีเมตตา ทั้งเคร่งครัดในวัตรปฎิบัติธรรม
“บ้านศิลาทอง” ที่ติดกัน ซึ่งเป็น “เจ้าถิ่น-เจ้าที่” สืบต่อมาแต่บรรพบุรุษ ท่านทำบุญสงกรานต์ประจำปี
ท่านเผื่อแผ่อาหาร ขนม มาให้กินมากมาย เรียกว่าสบายไปทั้งมื้อบ่าย-มื้อค่ำ
ผมว่า ปีนี้และต่อจากนี้ ขออวยตัวเองนิดนึง ว่าน่าจะถึงคราวบุญมา-วาสนาส่งแน่
เพราะย้ายมาอยู่ตรงนี้ โชคดีทุกอย่าง ซอย ๔๖ เป็นซอยของบ้านศิลาทอง เขาก็ให้ใช้
สำนักงานไทยโพสต์ ก็ใช้รั้วบ้านศิลาทองเป็นรั้วสำนักงานไทยโพสต์ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
แต่เขาไม่เคยว่าอะไรซักคำ!
และผมก็ไม่ทราบเลยว่า บ้านศิลาทองนี้ ประหนึ่ง “อาศรมปาฎิหาริย์แห่งธรรม”
จะบอกว่า แห่งนี้ ซ่อนอดีตลึกลับทั้งในภพและข้ามภพที่คนภายนอก “ยากจะทราบ” ไว้มากมาย ซึ่งล้วนน่าพิศวง
“บ้านศิลาทอง” แต่พอเข้าไปสัมผัส อาคารต่างๆ ที่เห็น แรกๆนึกว่าเป็นบ้านคนอยู่
แต่กลับเป็น “กุฎิอริยสงฆ์” บ้าง
เป็น “ศาลาหลวงปู่” มีความเป็นมาแต่ครั้งบรรพบุรุษสัมผัสที่คนภายนอก “ยากหยั่งถึง” เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมบ้าง
เป็นอาคารบรรพบุรุษผู้เคร่งในธรรมปฎิบัติสถิต เมื่อถอดจิต ร่างท่านทรงสภาพอยู่เช่นนั้นบ้าง
บ้านศิลาทอง ในอดีต แต่ละปี ท่านจะบำบุญเลี้ยงพระ-เณร ครั้งละ ๒-๓ หมื่นรูป ทุกปี
ผมเห็นภาพถ่ายแล้ว ขนลุก!!!
ท่านคิดเอาละกัน ว่าบริเวณบ้านศิลาทองจะขนาดไหน เลี้ยงภัตตาหารพระ-เณรครั้งละเป็นหมื่นๆ รูป พื้นที่ยังเหลือเฟือ
สถานแห่งนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่เรียก “พระป่า” ที่รู้จักกันดีในอดีตมากต่อมาก เช่น “หลวงพ่ออุตตมะ” เป็นต้น เวียนมาบำเพ็ญสมณธรรมที่กุฎิกลางสระน้ำไม่ขาดระยะ
ผม “ไม่คิด-ไม่ฝัน”……….
อันใดดลใจก็ไม่ทราบ จับพลัด-จับผลู เดินเข้าไปในบ้านศิลาทองเขาเฉยเลย!
ถึงบอกว่า ผมมีบุญวาสนาไง
วาระสงกรานต์-ปีใหม่ ได้กราบรูปเคารพหลวงปู่ ได้สรงน้ำ ได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าไปในสถานที่ ประหนึ่ง “เมืองลับแล”
และได้เข้าไปกราบอนุสรณ์สถานบรรพบุรุษผู้ปฎิบัติธรรมจนร่างท่านทรงสภาพ โดยไม่มีการฉีดยาใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่ใช่ผมพูดเอง…….
บุตรชายท่านซึ่งเป็นนายแพทย์ เห็นผมเด๋อๆ ด๋าๆ เข้าไป ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ แนะนำตัวเองแล้ว คุณหมอก็ตักไอติมถังให้กินแก้ร้อน และเล่าให้ฟัง
ครับ….
ก็คุยกันตามประสาวันหยุด ช่วงนี้ ถึงจะสงกรานต์ แต่อะไรๆ มันก็แฝงไปด้วยเรื่องหาเสียงเลือกตั้ง
ผมว่า ครั้งนี้ แต่ละพรรคมี “กรอบสำนึก” ในการหาเสียง “มีวุฒิภาวะ” ดีนะ
ใครจะขายนโยบายอะไร ก็ขายกันไป อยู่ที่ชาวบ้านจะเลือกใคร-ไม่เลือกใคร เพราะผลลัพธ์ของการเลือก สุดท้ายแล้ว จะตกอยู่ที่ชาวบ้านโดยตรง
ถ้าตัดสินใจเลือกได้คนดี-รัฐบาลดี ประเทศชาติก็พัฒนาก้าวหน้า ประชาชนก็จะได้ดี-มีสุข
ถ้าเลือกได้คนไม่ดี ก็ได้รัฐบาลเลว เข้าไปโกง-ไปกิน ประเทศชาติจะล่มจม ประชาชนจะลำบาก-ทุกข์ยากเข็ญ
สรุป ถ้าเลือกโจรเข้าไปครองเมือง ประชาชนนั่นแหละจะ “หมดตัว” เพราะถูกโจรที่เลือกเข้าไป มันปล้น
ถ้าเลือกคนดีเข้าไปครองเมือง ประชาชนก็จะ “เงยหน้า-อ้าปาก” ได้ เพราะคนดีที่เลือกเข้าไป จะทำหน้าที่พัฒนาชาติบ้านเมือง
พรรคไหนดี ซื่อสัตย์ต่อชาติบ้านเมืองและประชาชน และพรรคไหนเลว มุ่งล้มบ้าน-ล้มเมือง และจ้องเข้าไปโกงบ้าน-กินเมือง ถ้าถึงป่านนี้แล้ว พวกเรา-ชาวบ้าน ยังแยกแยะไม่ได้
ผมก็ไม่รู้จะว่ายังไงเหมือนกัน
ถ้าจะให้พูด ก็ต้องพูดว่า……..
“เป็นเวรกรรมของคนไทย” ถ้า “รู้ว่าเขาหลอก-แต่ยังเต็มใจให้หลอก” อยู่อีกละก็!
อย่างน้อย กรณีเลือกผู้ว่ากทม.ที่ผ่านมา ผลของการเลือกคนประเภทชัชชาติ “เวรกรรมตกอยู่ที่ใครล่ะ?”
ถ้าไม่ใช่คนกทม.ก็คงเป็นหมากทม.นั่นละมัง?
“ประชาธิปไตย” หลักการ เท่าที่ผมประมวล คือ “ต้องหน้าด้าน…ต้องโกหก-หลอกลวง ต้องอสัตย์ชาติ” เพราะเป้าหมายตามหลักการ คือ
มุ่ง “ปริมาณ” มากกว่า “คุณภาพ”
แนวคิดประชาธิปไตยอยู่บนรากฐาน “มนุษย์เกิดจากเชื้อชั่ว” ฉะนั้น สังคมหนึ่งๆ จะประกอบด้วยคนใฝ่ชั่วมากกว่าคนใฝ่ดี
ดังจะได้ยินเสมอๆ ที่พูดกันว่า “ความชั่วหัดง่าย” บางที่-บางคน ไม่ต้องหัด ก็ชั่วชนิดอยู่ในสายเลือดแต่เกิด!
“ประชาธิปไตย” ตามตำราเรียก “ระบอบการปกครอง” แต่ผมว่า มันก็คือกลอุบายของคนที่ต้องการอำนาจปกครองกลุ่มหนึ่ง สมัยกรีกยุคก่อนคริสต์กาล ที่เรียนรู้ “ธาตุเกิด” ของมนุษย์ว่า……..
การ “เวียนว่ายตายเกิด” ต้นกำเนิดคือ “เชื้อชั่ว”
เหยื่อที่จะใช้ล่อเชื้อชั่ว ก็คือ ชั่วด้วยกัน โกหก หลอกลวง กะล่อนปล้อนปลิ้น โกงเอาเศษเลยมากินด้วยกัน
เหมือนหนอน ศูนย์รวมหนอนทุกตัว อยู่ที่ “อุจจาระ” ก้อนเดียวกัน
นี่แหละ แบบนี้แหละ “ประชาธิปไตย” จึงโปรโมทกันจัง
เพราะประชาธิปไตย ไม่ต้องการ “คุณภาพคน”
ประชาธิปไตย ต้องการเพียง “ปริมาณมือยก”
ผู้กระหายอำนาจจึงชอบประชาธิปไตยยังไงล่ะ
เพราะโลก ส่วน “เชื้อชั่ว” มันมาก
พวกประชาธิปไตยโจรจึงนิยม เพราะกะล่อนลวงยังไงก็ได้ ง่ายที่พวกเชื้อชั่วพร้อมมาเป็นปริมาณสนับสนุน ทั้งในสภาและนอกสภา!
“ยุโรป-สหรัฐฯ” ตอนนี้ กำลังจะตายด้วยประชาธิปไตยย้อนสนองอยู่ตอนนี้ ดังเห็น
ฉะนั้น เลือกตั้งเที่ยวนี้ จงมีสติพิจารณาไตร่ตรองให้ดี
พระพุทธศาสนาสถิตอยู่ที่ไทย จนไทยเป็น “ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก” นั่นเพราะอะไร?
นั่นเพราะ “เชื้อดี” ที่เกิดคนไทย มีมากกว่า “เชื้อชั่ว”
เหตุนั้น…..
พวกเรา “เชื้อดี” ต้องช่วยกันเลือก “พรรคดี-คนดี” เข้าไปเป็น “รัฐบาลที่ดี”
คนไทยจะได้เป็นต้นแบบประชาธิปไตย “โดยคนดี” ให้โลกจำซะทีไงล่ะ!
เปลว สีเงิน
๑๔ เมษายน ๒๕๖๖