ไม่จบหรือจะรบกัน? #เปลวสีเงิน

เปลว สีเงิน

 ปัญหาชายแดน”ไทย-เขมร”

เราให้เด็กเกเรข้างบ้าน “กำหนดตาเดิน” มาพอแล้ว

ถึงเวลาเราต้องเป็นฝ่ายกำหนด “ตาบังคับ” ให้เด็กมันต้องเดินตามบ้าง ไม่งั้นพวกมันจะนึกว่า “ไทยมีแต่ผู้นำโง่”!

แต้มคู “พ่อลูกเขมร” คู่นี้ ไม่มีอะไรมาก

แค่มี “ฝรั่งเศส” เป็นพ่อ มีเรื่องอะไรจึงลากไปฟ้องศาลโลกตะพึด เพราะพ่อกูใหญ่ คณะลูกขุนก็ “เด็กในคาถา” พ่อกูแทบทั้งนั้น

เคยฟ้องเรื่องปราสาทพระวิหารของไทยต่อศาลโลก เมื่อปี ๒๕๐๒ ว่าเป็นของเขา

ศาลโลกก็ตัดสินเหมือนปล้นปราสาทพระวิหารไปให้เขมร จนไทยสาปส่งจากอำนาจศาลโลกนับแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้

“ดร.ถนัด คอรมันตร์” รัฐมนตรีต่างประเทศสมัยนั้น ได้ทำหนังสือประท้วงคำพิพากษาไปถึง “เลขาธิการสหประชาชาติ”

ว่า “คำตัดสินไม่ยุติธรรมและขัดต่อกฎหมาย”

พร้อมระบุ “ไทยสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนมาในอนาคต หากมีเหตุผลทางกฎหมายที่เหมาะสม”

เนี่ย เขมรจึงได้ใจ เอะอะฟ้องศาลโลก อย่างปี ๒๕๕๔ ฟ้องเรื่องพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ศาลโลกก็โยกเอนไปให้เขมรอีก

อย่างกรณีพิพาทชายแดนที่ “ช่องบก” อุบลราชธานี ตอนนี้

ก็ตกลงกัน จะประชุม “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Commission: JBC) วันที่ ๑๔ มิถุนา.ที่พนมเปญ กำหนดหัวข้อเจรจาไว้ ๓ หัวข้อ

วันต่อมา “นายกฯ ฮุนมาเนต” ผุดหัวข้อที่ ๔ ขึ้นมา จะนำเข้าเจรจาในที่ประชุมด้วย คือ พื้นที่ช่องบก, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย

ไทย “ไม่รับลูก”

ฝ่ายเขมรจึงแบไต๋ ไม่เอาเข้าเจรจาในที่ประชุมวันที่ ๑๔ มิ.ย.แล้ว แต่จะนำเรื่อง “พื้นที่ช่องบก, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย” ไปฟ้องศาลโลกเลย ว่าเป็นของเขมร!

มันกวน…มั้ย?

เมื่อวาน (๕ มิ.ย.๖๘) จึงเห็น “รัฐบาลมะเขือเผา” ปรับสภาพเป็น “รัฐบาลโด่ไม่รู้ล้ม” ค่อนข้างจะชัดเจนในท่าทีขึ้นมาอีกหน่อย ด้วยแถลงการณ์ ฉบับที่ ๒ ดังนี้

………………………………………

แถลงการณ์รัฐบาล

“กรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา”

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะบริเวณช่องบก เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568

ทั้งสองฝ่ายได้หารือและตกลงกันที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Commission: JBC)

คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC)

บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นผลจากการหารือระหว่างผู้บัญชาการทหารบกของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568

ตามที่กัมพูชาแสดงความตั้งใจที่จะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(International Court of Justice: ICJ) นั้น

ไทยไม่ได้ประกาศยอมรับเขตอำนาจของ ICJ ตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน

ทั้งสองฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการจัดการประเด็นชายแดนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก

สิ่งที่สำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไป ซึ่งจะสร้างความซับซ้อนมากขึ้น

ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นฝ่ายใดได้รับความสูญเสีย ไทยและกัมพูชามีกลไกเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว

ซึ่งกลไกดังกล่าว โดยเฉพาะการทำงานของ JBC ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา มีความคืบหน้าในหลายพื้นที่อย่างเห็นได้ชัดดังเช่นในกรณีของสะพานมิตรภาพไทย – กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท)

และการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี

ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

และหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงถึงความปรารถนาเช่นเดียวกัน ในการร่วมมือกับไทยในลักษณะที่สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันของเราในสันติภาพ เสถียรภาพ และการเคารพซึ่งกันและกัน

วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๘

…………………………………………

“แปลไทยเป็นไทย” จากคำใน “แถลงการณ์” กันซักนิด เพราะบางท่านอาจเป็นงง

สรุป ไทยบอกเขมรว่า อยากฟ้องศาลโลก เชิญฟ้องไปฝ่ายเดียวเลย “ไทยไม่ได้ประกาศยอมรับเขตอำนาจของโลก” มาตั้งแต่ปี ๒๕๐๓ โน่นแล้ว

ไทยย้ำกับเขมรว่า….

-เราตกลงกันแต่แรกแล้วว่า วันที่ ๑๔ มิ.ย.จะคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหาบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น

-จะไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไปถึง ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกตหรือช่องบก เพราะนั่นจะทำให้ปัญหาซับซ้อนยิ่งขึ้น

-การแก้ไขปัญหาจะอยู่ภายใต้กลไก “ทวิภาคี” ไทยกับเขมร ๒ ประเทศเท่านั้น จัดการแก้ไขปัญหาชายแดน โดยคณะกรรมการ JBC, GBC และ RBC จะไม่มีประเทศที่สามเข้ามายุ่มย่าม

เนื้อหาชัดๆ ในแถลงการณ์ก็ประมาณนี้

แต่ก็ทำให้เขมรเหี่ยวไปพอควร เรื่องฟ้องศาลโลก ที่เห็นไทยถุยใส่โดยไม่แยแส

ได้คืบจะเอาศอก…สันดานชัดๆ มันจะเคลมเอาทุกอย่างในประเทศไทยว่าเป็นของมัน นี่ก็ฟ้องหวังจะเอาอีก ๔ แห่ง

อีกหน่อย “ศิวลึงค์” ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน อาจหน้าด้านเคลมว่าเป็นของมันอีกก็ไม่แน่

ถ้าอยากได้จริงๆ ละก็ ไม่ต้องเคลม จะยกให้อัน..ฟรีๆ!

ผมว่านะ กว่าจะถึงวันที่ ๑๔ คงมียักเยื้องอีกหลายตลบ ทำไป-ทำมา การประชุมอาจล้มไปเลยก็เป็นได้ ไปเอาแน่นอนอะไรกับเขมร

นี่ก็วันที่ ๖ แล้ว อีก ๖ วัน ก็วันที่ ๑๒ มิ.ย.แพทยสภาจะประชุมลงมติ ว่า จะยืนยันมติเดิม ลงโทษ ๓ แพทย์ ที่ช่วยให้ทักษิณป่วยทิพย์

หรือจะเห็นด้วยกับการยับยั้งมติแพทยสภาของ “นายสมศักดิ์” ในฐานะสภานายกพิเศษ?

แล้ววันรุ่งขึ้น ๑๓ มิ.ย.ทักษิณมีโอกาสคืนสู่ตำแหน่ง “นายกฯ คุก” หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานัดพร้อม ทั้งโจทก์-จำเลย

พร้อมทั้งผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร, อธิบดีกรมราชทัณฑ์, นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล

เนี่ย….ทั้ง ๒ วันนี้ อุณหภูมิมีผลต่อการนัดหมายเจรจา ๑๔ มิ.ย.ว่าเขมรจะเดินหน้าต่อหรือกลับไปขุดคูเลตเพื่อลองของทหารไทยว่าขลังขนาดไหน?

เห็นสายตา-ท่าทาง “พลเอก เตีย เซ็ยฮา” รองนายกฯ และรมว.กลาโหมกัมพูชา มองนายภูมิธรรม รองนายกฯ และรมว.กลาโหมของไทย ที่หารือกันที่ สระแก้ว เมื่อวาน

ดูท่า “สันติเพียบ” จะเกิดมากกว่า”สันติภาพ”!

อย่าไปค่อนแคะคุณภูมิธรรมกันนักเลย สงสารท่าน เพราะท่านเป็นยิ่งกว่า “กระโถนท้องพระโรง”

นายกฯ น้อยก็เป็น วอลเปเปอร์นายกฯ ก็เป็น ผู้กระซิบบอกบทนายกฯ ก็เป็น หนังหน้าไฟก็เป็น

(คง) ไม่เป็นอยู่อย่างเดียวคือ “บรูตุส”!?

งานงามหน้า คือลูกนาย

งานเสียหน้า คือกู….ทำไงได้ ในเมื่อเป็นประหนึ่งทาสผู้ภักดี ชีวิตนี้…เพื่อนาย!

การเดินแต้มทางการเมือง ฝ่ายเขมรเป็นผู้กำหนดเกม ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายแก้เกม

ฉะนั้น อะไรที่เป็น “กระโถนขี้-กระโถนเยี่ยว” ภูมิธรรมคนเดียวแบกหมดในรัฐบาลเพื่อนาย เหี่ยวจนน่าห่วงว่าไตจะทรุด!

“สองพ่อลูกเขมร” จึงกระหยิ่มยิ้มย่อง ประเมินแล้วแต้มเขมรเหนือกว่าแต้มรัฐบาลหลานอุ๊งอิ๊ง ซึ่งรุ่งริ่ง ไม่มีอะไรให้คนเชื่อถือในบทบาทผู้นำ

ที่เขมรลำพอง แต่แค่แหย่ๆ แล้วแหยกลับไป นั่นเพราะแหยง “ทหาร”!

ฉะนั้น สามารถพูดได้ว่า เขมรไม่ให้ราคารัฐบาล แต่หวาดผวาจนตาลานกับ “ทหาร-กองทัพไทย” จึงได้แต่ “ปากกล้า-ขาไม่ยอมก้าว”

สรุปในขั้นนี้ได้ว่า พวกเราสบายใจได้กับหมาเลาะรั้วเห่า ไม่กล้าเข้ามาหรอก

เห็นนายภูมิธรรมบอกว่า ไปดูแล้ว ยอมรับว่า ทหารเขมรรุกล้ำพื้นที่อ้างสิทธิ์เข้ามา ๒๐๐ เมตร!

รู้แล้ว เห็นแล้ว จะทำเป็นม้าอารีไม่ได้ ไทยต้องตีรุก ให้กองทัพภาค ๒ ใช้มาตรการเด็ดขาด

เขมรต้องถอยออกไปจากพื้นที่โนแมนแลนด์!

ถ้ารู้แล้วเฉย เขมรก็จะรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ แล้วอ้างสิทธิ์ อย่างที่เคยทำบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหารสมัยทักษิณเป็นนายกฯ จนสร้างวัด-สร้างชุมชน แล้วเคลมเป็นดินแดนของเขาต่อมา

ปัญหาชายแดนไทย-เขมรนี้ เหมือนหมากรุกที่ใช้ตัวเดินผิด

มันเป็นเรื่องในเขตพื้นที่อำนาจกองทัพจัดการ ก็ควรให้ระดับกองทัพทั้ง ๒ ฝ่ายเขาเจรจากันแต่แรก ยังไม่ถึงขั้นรัฐบาลต้องแทรกลงไปเล่นเองในทันที

นี่ถ้าปล่อยให้ฝ่ายกองทัพกับกองทัพเขาคุยกัน ป่านนี้ จบไปแล้ว

แต่ทีนี้ฝ่ายไทย ระดับรองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหม “นายภูมิธรรม” ลงไปเล่นลูกแทนทหารในพื้นที่ ไปเจ้ากี้-เจ้าการ “สั่งข้ามหัวเขา” มันก็เลยเข้าทางสองพ่อลูกเขมร

ผมจะบอกให้ เรื่องอย่างนี้ ประชาชนเขาเชื่อมือทหาร เขาไม่เชื่อมือรัฐบาลที่มี นายกฯ อย่างอุ๊งอิ๊ง

นายภูมิธรรมน่ะ มีความตั้งใจดี ขยันงาน แต่แบตอ่อน พลังขับเคลื่อนไม่มี

แค่งานลาดตระเวนชายแดน แล้วอีกฝ่ายจงใจให้เกิดการกระทบ-กระทั่ง เรื่องแค่นี้ ให้ฝ่ายกองทัพบริหาร-จัดการปัญหา มันก็จะจบในพื้นที่

แต่เมื่อรัฐมนตรีกห.ไปล้วงลูกแต่แรก มันจึงเละ

ทหาร-ฝ่ายบู๊ รัฐบาล-ฝ่ายบุ๋น ปรับคนให้เข้ากับลักษณะงานและใช้ให้ถูกที่-ถูกเวลา ป่านนี้ไอ้ขี้คุย มันเผ่นป่าราบไปแล้ว

นายกฯ รบกับนักข่าวน่ะ ถูกงานแล้ว

แต่งานศึก ให้ฝ่ายทหารกับฝ่ายทหารเขาไปคุยกัน “กลั่นให้สะเด็ดน้ำ” ก่อน

จากนั้น ระดับรัฐบาลค่อยออกงานไป “กอดพ่อ-กอดลูก” แบ่งสมบัติกัน นั่นก็ยังไม่สาย!

เปลว สีเงิน

๖ มิถุนายน ๒๕๖๘

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from plew
“มุ่งชนะ-ทุกคนจะแพ้” – เปลว สีเงิน
คลิกฟังบทความ..⬇️ เปลว สีเงิน ทักษิณ….. ถ้าจะขอบคุณใครซักคนตอนนี้ ต้องนี่เลย….. “รองฯวิษณุ เครืองาม”
Read More
0 replies on “ไม่จบหรือจะรบกัน? #เปลวสีเงิน”