จากหน้ามือเป็นหลังเท้า #ผักกาดหอม

ผักกาดหอม

มันประหลาด…!!!

บางทีก็หาเหตุผลอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายนที่ผ่านมา นายกฯ แพทองธารเดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เพื่อฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๗๕ ปี

วันนั้นมีแต่ข่าวชื่นมื่น

นายกฯ แพทองธารยิ้มหุบปากแทบไม่ได้เลยครับ

“…รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เดินทางมาเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสครบรอบ ๗๕ ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา

และยินดีที่ได้ร่วมกับสมเด็จมหาบวรธิบดีฮุน มาเนต เปิดตัวตราสัญลักษณ์เพื่อเฉลิมฉลองวาระดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

ในวันนี้ได้มีการหารืออย่างเป็นกันเองและสร้างสรรค์ และต่างแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะกระชับความร่วมมือ บนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน…”

นั่นคือคำแถลงข่าวของนายกฯ แพทองธาร

ลงไปในรายละเอียดมีการหารือกันในประเด็นสำคัญ ๗ ข้อ ที่ทำเนียบรัฐบาลไทยสรุปมา

๑.การยืนยันถึงความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกัน โดยยินดีที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม เพื่อให้ความเป็นหุ้นส่วนดังกล่าวก่อประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ รวมถึงยินดีต่อการเปิดสถานกงสุลใหญ่ไทยที่จังหวัดเสียมราฐ และการเปิดสถานกงสุลใหญ่กัมพูชาที่จังหวัดสงขลาในอนาคตอันใกล้

๒.การเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคง โดยสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือทางทหารให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในทุกระดับ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีกัมพูชา สำหรับความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างหน่วยงานตำรวจในการปราบปรามแก๊งหลอกลวงออนไลน์ และจะส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อขจัดเครือข่ายอาชญากรรมให้หมดจากพื้นที่ชายแดน

พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่า การลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยมลพิษสิ่งแวดล้อมข้ามแดนในวันนี้ จะช่วยเสริมสร้างความร่วมมือในการรับมือกับมลพิษฝุ่น PM 2.5 ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยงานของทั้งสองประเทศ

๓.การเร่งรัดการพัฒนาพื้นที่ชายแดน โดยไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการที่พื้นที่ชายแดน ในโอกาสเปิดสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชาอย่างเป็นทางการ รวมถึงจะเร่งรัดการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ตลอดจนเร่งเจรจาความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนน เพื่อให้รถยนต์ส่วนบุคคลสามารถข้ามแดนได้ รวมทั้งพัฒนาบริการขนส่งสินค้าข้ามแดนทางราง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงสองประเทศและในภูมิภาคต่อไป

๔.การกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน จาก ๑๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น ๑๕,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ค.ศ.๒๐๒๗ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณกัมพูชาที่สนับสนุนนักลงทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ ๙ ในกัมพูชา

นอกจากนี้ สองฝ่ายเห็นพ้องประสานงานกันภายในกรอบอาเซียน เพื่อส่งเสริมการรวมตัวทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค รวมทั้งเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

๕.การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และขับเคลื่อนข้อริเริ่ม “หกประเทศ หนึ่งจุดหมายปลายทาง” ให้มีความคืบหน้า รวมทั้งจะปรับปรุงความตกลงว่าด้วยการข้ามแดนเพื่ออำนวยความสะดวกการเดินทางข้ามแดนเพื่อการท่องเที่ยว

๖.การส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานชาวกัมพูชาในประเทศไทยผ่านช่องทางที่ถูกกฎหมายเท่านั้น เพื่อให้แรงงานสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เหมาะสม

๗.การเสริมสร้างมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ซึ่งในวันนี้ได้มีการลงนามในเอกสารเพื่อจัดตั้งศูนย์พัฒนาทักษะแรงงานที่ปูนพนม โดยจะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ ๗๕ ปี ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ตลอดทั้งปีนี้ เพื่อสะท้อนมิติต่างๆ ของมิตรภาพอันยาวนาน

ครับ…แค่เดือนครึ่งผ่านไป จากหน้ามือเป็นหลังเท้า

ไม่รู้มิตรภาพแบบไหน ถึงไปปลุกว่า ถ้าไทยไม่ไปศาลโลก ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเป็นเหมือนฉนวนกาซา

รบกันทุกวัน!

การไปเยือนจึงเหมือนสูญเปล่า ไม่ได้อะไรกลับมาเลย

นอกจากปัญหา!

ก็ไม่ได้โทษนายกฯ แพทองธารเธอหรอกครับ เพราะไปเขมรตามโพย แต่ต้องการคำอธิบายว่า ๒ ประเทศประกาศสานสัมพันธ์แน่นแฟ้น ๗๕ ปี

แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ขนรถถัง ปืนใหญ่ มาจ่อบริเวณชายแดน เหมือน ๒ ประเทศนี้มีการรบพุ่งกันมาต่อเนื่องยาวนาน

เหตุปะทะกันที่ปราสาทตาเมือนธม จะบอกว่าเหมือนมีใครจัดฉากขึ้นมาก็ได้ เพราะสถานการณ์บริเวณดังกล่าว ส่วนใหญ่สงบ

หากจะให้ยิงกัน ก็เสกเอาได้ในชั่วพริบตาเดียว

แล้วรัฐบาลไทยต้องยืนอยู่ในจุดไหน

แน่นอนครับ หลีกเลี่ยงสงครามเป็นการดีที่สุด

แต่จะให้หมาฉี่รดอยู่เรื่อยก็ใช่เรื่อง

มันต้องหวดกันบ้าง

รัฐบาลเน้นด้านการทูต ถือว่าถูกต้องแล้วครับ แต่การทูตในความหมายของรัฐบาล มันไม่ใช่การทูตระหว่างประเทศ ๒ ประเทศ

แต่เป็นการทูตของ ๒ ครอบครัว

เหมือนครอบครัวหนึ่งมายืนชี้หน้าด่าที่หน้าบ้าน อีกครอบครัวเงียบเพราะเกรงใจ

จะไม่เกรงใจได้ไงละครับ ตอนน้องสาวเจ้าของบ้านหนีตำรวจ ก็แอบลอดรั้วหนีเข้าบ้านเพื่อนบ้านปากเหม็นคนนั้น

ตัวเจ้าบ้านเองก็ร่ำๆ จะหนีอีกรอบ ข้างบน ข้างล่าง ไม่มีช่องให้ไป ข้างขวา เวสต์เกต ก็ไปยาก ไม่เหมือน อีสต์เกต ประตูตะวันออก เปิดอ้ารอรับ ๒๔ ชั่วโมง

ขืนพุ่งชนเกิดประตูปิดตายจะทำไง

ฉะนั้นตอนถูกชี้หน้าด่า จะไปทำอะไรได้ละครับ นอกจากเงียบ แล้วพยายามพูดเนิบๆ แบบผู้ดี เพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านโกรธ

มาเฟียเขมรถึงได้ใจ

เพราะ “ฮุน เซน” รู้จุดอ่อนของ “ทักษิณ”

ลองเป็นสมัยรัฐบาลลุงตู่สิครับ เพื่อนทักษิณไม่กล้าทำอะไรแบบนี้หรอก

ครับ…ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบางครั้งมันขึ้นกับรัฐบาลขณะนั้นๆ มีเครดิตในสายตาเพื่อนบ้านหรือเปล่า

เมื่อไหร่ที่เพื่อนบ้านเห็นเป็นโจร มันก็ขี่ไม่ให้โงหัว.

Line Open Chat *เพิ่มช่องทางการรับข่าวสาร จากเว็บไซต์ *อ่านคอลัมน์ เปลว สีเงิน ก่อนใคร *ส่งตรงถึงมือทุกคืน *เปิดกว้างเพื่อแฟนคอลัมน์พูดคุยแบบกันเอง ทุกเรื่องราว ข่าวสารบ้านเมือง สังคม ฯลฯ
Written By
More from pp
รมว.สุชาติ รุดให้กำลังใจ จนท.ตรวจโควิด-19 ที่สนามไทย – ญี่ปุ่น ดินแดง ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำทีมตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตน ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) ดินแดง ซึ่งเปิดเป็นวันสุดท้าย ก่อนปิดศูนย์ชั่วคราวและเปิดให้บริการใหม่ในวันที่ 5...
Read More
0 replies on “จากหน้ามือเป็นหลังเท้า #ผักกาดหอม”