สันต์ สะตอแมน
“ดีลลับ”..
คนเป็นพ่อปิดปากไม่ยอมพูด ส่วนลูกสาว-นายกรัฐมนตรี ประกาศลั่นจน “แนวหน้า” พาดหัวข่าวตัวเบ้อเร่อ..
เจรจา “ภาษีทรัมป์” ต้องวินวิน 2 ปท. “อิ๊งค์” โว มีดีลลับ
โอ้..ช่างซื่อ-ใส จนอยากให้โล่ แต่คนไขลานให้อุ๊งอิ๊งพูด ป่านนี้ถ้าไม่โดนพ่อนายกฯ เขกกบาล ก็น่าจะเรียกเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า อบรมเบาๆ.. มึงเอาสมองส่วนไหนคิด?
เอาเถอะ..นายกฯ จะมี “ดีลลับ” อะไรกับนายทรัมป์ก็ช่างเธอ แต่ที่ไอ้หวัง-ที่คาดจะมีรายได้เข้าประเทศแตะหมื่นล้านบาท..
จากการที่นายกรัฐมนตรีประกาศแคมเปญ “แคช รีเบต 30%” เพื่อหวังจูงใจผู้ผลิตภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย นั้น
ตอนนี้ ดูท่าจะไม่เป็นดังคาด-ดังหวังเสียแล้วกระมัง เพราะวานนี้เห็นข่าวจาก “ผู้จัดการออนไลน์” รายงาน..
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีศุลกากร 100% จากภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผลิตนอกสหรัฐอเมริกา
โดยให้เหตุผลว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ กำลังตายลงอย่างรวดเร็วสืบเนื่องจากมาตรการจูงใจที่ประเทศอื่นๆ ใช้เพื่อดึงดูดคนทำหนังจากฮอลลีวูด
“ประเทศอื่นๆ กำลังรวมหัวกันทำสิ่งนี้ ดังนั้นมันจึงถือเป็นภัยคุกคามของชาติ และนอกเหนือไปจากสิ่งอื่นๆ แล้ว
มันคือการส่งสารและการโฆษณาชวนเชื่อ” ทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social
ทรัมป์ ระบุด้วยว่า เขาได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ เริ่มกระบวนการเก็บภาษี 100% จากภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศ และเข้ามาฉายในสหรัฐอเมริกา โดยให้มีผลในทันที.. “เราต้องการให้มีการผลิตภาพยนตร์ในอเมริกา อีกครั้ง!” เขากล่าว
ครับ..พูดกันแฟร์ๆ ผมว่านายทรัมป์ก็ทำถูกของแกนะ ลองคิดถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยของเราสิ ถ้าผู้ผลิต-ผู้สร้างขนกองทัพทีมงาน-ดาราออกไปถ่ายทำยังต่างประเทศ
นั่น..เท่ากับเราหอบเงินไปให้บ้านเขา แล้วคิดดูสิว่า “ฮอลลีวูด” สร้างหนังปีละกี่ร้อยเรื่องหากทุกเรื่องยกทัพ-ขนทีมงานออกไปผลิตนอกสหรัฐอเมริกากันหมด
จะด้วยเหตุอื่นใด หรือจะด้วยได้รับแรงจูงใจอย่างเช่นที่รัฐบาลไทยประกาศเแคมเปญ “แคช รีเบต 30%”..
เงินจะไหลออกมากมายมหาศาลสักเท่าใด แต่จะถึงขั้น “เป็นภัยคุกคามของชาติ” นั้น ดูเหมือนนายทรัมป์ก็จะพูดเกินไปนะ!
ฉะนั้น ข่าวนี้ก็เป็นอีก “ข่าวร้าย” ของประเทศไทยภายใต้การบริหารของเด็กน้อย แม้ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเผย..
“ ปี 2566 มีภาพยนตร์ต่างประเทศถ่ายทำในไทยถึง 466 เรื่อง จาก 40 ประเทศ สร้างรายได้กว่า 6,600 ล้านบาท มากที่สุดตั้งแต่เคยมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้
และปี 2567 ตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าการถ่ายทำภาพยนตร์และซีรีส์ต่างประเทศในไทยจะสร้างรายได้มากกว่า 7,053 ล้านบาท” ก็เถอะ
เพราะการไม่มีหนังฮอลลีวูดเข้ามาถ่ายทำเลย ก็ย่อมจะส่งผลต่อรายได้ไม่มากก็น้อย ที่สำคัญ เรายังเสียโอกาสที่จะได้ประชาสัมพันธ์ประเทศ (ฟรี) ในทุกมิติไปอย่างน่าเสียดาย
จะหวังรายได้จาก “ซอฟต์ พาวเวอร์” ที่เพ้อฝันกันอยู่ ก็ไม่รู้ว่าถึงป่านนี้จะคุ้มกับงบ 5,000 ล้านบาทที่นายกฯ แพทองธารในฐานะ “ประธาน” โครงการฯ เบิกจ่ายมาร่วม 2 ปี แล้วหรือยัง?
นี่..ถ้านายทรัมป์เปิดทางให้บินไปเจรจาต้าอวยด้วย “ดีลลับ” กัน วันไหน ก็ขอฝากนายกฯ ร่างทรง ช่วยต่อรอง ผ่อนผันการปิดกั้นหนังฮอลลีวูดเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยด้วยแล้วกัน
แต่ก็อย่างที่ผมว่านั่นแหละ นายทรัมป์คงรักประเทศชาติ-รักประชาชนของแก จึงเลยคิด-ทำทุกวิถีทางที่จะให้อเมริกามั่นคง-ประชาชนมั่งคั่ง..
เงินทุกบาททุกสตังค์ เอ๊ย ทุกดอลล์สิ จึงต้องพยายามไม่ให้กระเด็นออกไปไหน?
เหตุนี้..นายทรัมป์จึงคุ้มเข้มกระทั่งการผลิตหนังนอกสหรัฐอเมริกา ซึ่งสายตาบางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า..
ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยที่มีแรงจูงใจ อีกหลายประเทศในโลกนี้ต่างก็มีนโยบาย หวังดึงเงินจากกองถ่ายหนังฮอลลีวูดกันทั้งนั้น!
พูดไป-พูดมา ก็อยากให้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง เอาอย่างนายทรัมป์ ออกคำสั่งรีดภาษีศุลกากร 100% จากภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผลิตนอกประเทศไทยเลยดีไหม?
แน่ะ..ทำหน้าง้อ-หน้างอนกันเลยเนาะ ผมพูดเล่นน่า..ต่อให้ไม่รีดภาษี เวลานี้หนังไทยก็แทบจะม้วยมรณังกันอยู่แล้ว ว่าแต่เอ่อ..
“สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ” ยังมีอยู่ไหมเอ่ย?
