ผักกาดหอม
แดงกินส้ม
น้ำเงินซดแดง
บ้านใหญ่กินเรียบ
วิเคราะห์การเมืองท้องถิ่นสมัยนี้ ต้องรู้ลึกถึงก้นครัวครับ ไม่งั้นไม่รู้ว่า บ้านไหนใหญ่กว่ากัน
เอาจริงๆ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ล้วนมาจากบ้านใหญ่ทั้งนั้น
อยู่ที่ว่าบ้านใหญ่จะใส่เสื้อสีอะไร
บางคนใส่เปิดเผย บางคนไม่เปิดเผยก็ว่ากันไปตามเหตุผลของแต่ละพื้นที่
เห็นพรรคส้มโวยวายเรื่องบ้านใหญ่เยอะ จนลืมไปว่า “วีระเดช ภู่พิสิฐ” ที่สอบได้เป็นนายก อบจ.ลำพูนนั้น ก็มาจากบ้านใหญ่
“วีระเดช” เป็นลูกชาย “ประเสริฐ ภู่พิสิฐ” อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน และอดีตประธานหอการค้าจังหวัดลำพูน
เป็นญาติกับ “ชัยณรงค์ ภู่พิสิฐ” อดีตรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน
ไม่ใช่ใหญ่ธรรมดานะครับ
ใหญ่คับลำพูน
มีคนไปเขียนประวัติ “วีระเดช” ในหลายๆ เว็บไซต์ แต่เขียนไม่ครบ
อยากให้ครบ เสิร์ชไปเลยครับคำว่า “ทุจริตลำไย ลำพูน”
ขึ้นมาพรึ่บ!
ฉะนั้นถ้าเอาแบบครบๆ ต้องระบุให้ชัดว่า “ประเสริฐ” ผู้เป็นพ่อเคยถูกยึดทรัพย์จากคดีทุจริตลำไยเมื่อปี ๒๕๔๗ ด้วย
ช่วงนั้นข่าวนี้ดังมากครับ
รายงานข่าวขณะนั้นบอกว่า คดีทุจริตลำไย ปี ๒๕๔๗ สำนักงาน ปปง.ได้ตรวจสอบที่มาที่ไปของเงิน รวมทั้งตรวจสอบการจ่ายภาษี สำหรับรายชื่อผู้ถูกขึ้นบัญชีดำแล้ว ๗ ราย
คดีของ “ประเสริฐ ภู่พิสิฐ” หรือโกเก้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติ ในขณะนั้น นำกำลังเจ้าหน้าที่ ปปง.และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค ๕ เข้าตรวจอายัดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตลำไย ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลำพูน
โดยเฉพาะบริษัท พิสิฐอุตสาหกรรม จำกัด ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน และโรงงานไม้อัดลำพูน ตำบลเวียงยอง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ของ “โกเก้า”
รวมถึงบ้านภรรยา และเครือญาติ เครือข่ายจุดรับซื้อที่มีทั้งนักธุรกิจ และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน
โยงใยเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นและกลุ่มธุรกิจในจังหวัดลำพูน
นี่คืออิทธิพลของบ้านใหญ่
เสียดายครับ ผลสุดท้ายของคดีนี้ ไม่ตกเป็นข่าว ไม่ทราบว่าคำวินิจฉัยของศาลออกมาเช่นไร
หาก “วีระเดช” จะให้ข้อมูลก็ยินดี
เมื่อพรรคส้มมักคุยเรื่องการเมืองที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ก็ควรทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพราะแม้ไม่มีชื่อของ “วีระเดช” ในคดี แต่ความเกี่ยวพันระหว่างพ่อกับลูกย่อมหนีไม่พ้น เหมือนที่พรรคส้มวิจารณ์ “แพทองธาร” กับ “ทักษิณ”
พูดเรื่องส้มแล้วไม่พูดแดงคงไม่ได้
“ทักษิณ” เหมือนชนะ แต่แพ้ราบคาบ
เพราะหากไม่มี “ทักษิณ” ผลเลือกนายก อบจ.ที่พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครก็ได้เท่าที่ได้คือ ๑๐ จังหวัด บวกลบนิดหน่อย
นั่นเพราะบ้านใหญ่มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นมากกว่า “ทักษิณ”
กลับกัน “ทักษิณ” ต่างหากที่ฉุดคะแนนบ้านใหญ่เพราะการปราศรัยที่สร้างศัตรูรอบด้าน
เล่นบทเสือกทุกเรื่องด่าทุกคนทุกเวที
โพสต์ของอดีต กกต. “สมชัย ศรีสุทธิยากร” จบในโพสต์เดียว เห็นความตกต่ำของ “ทักษิณ”
“…ทักษิณสิ้นมนต์ขลัง
ตรวจสอบผลการเลือกตั้งในจังหวัดที่ทักษิณไปปราศรัย
๑.เชียงราย แพ้ (แพ้ตระกูล วันไชยธนวงศ์)
๒.เชียงใหม่ ชนะ (ฉิวเฉียด)
๓.ลำปาง ชนะ (เครดิตตระกูล โล่ห์สุนทร)
๔.ลำพูน แพ้ (ส้ม ชนะตระกูล วงศ์วรรณ)
๕.นครพนม ชนะ (ชนะตระกูล โพธิ์สุ)
๖.บึงกาฬ แพ้ (แพ้ตระกูล ทองศรี)
๗.หนองคาย ชนะ (ล้มแชมป์เก่าได้)
๘.มหาสารคาม ชนะ (เครดิตตระกูล จรัสเสถียร ล้มแชมป์เก่า)
๙.ศรีสะเกษ แพ้ (ไล่หนู ตีงูเห่า แต่แพ้ตระกูล ไตรสรณกุล)
๑๐.มุกดาหาร แพ้ (มีกำหนดการหาเสียงแต่ไม่ไป)
สรุป ๑๐ จังหวัด แพ้ ๕ จังหวัด จังหวัดที่ชนะ และถือว่า สำเร็จ คือ นครพนม และหนองคาย ส่วนที่เหลือ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องบารมีนักการเมืองในพื้นที่และบ้านใหญ่ คือ มหาสารคาม (จรัสเสถียร) ลำปาง (โล่ห์สุนทร) ส่วนเชียงใหม่ แม้ชนะ แต่ส้มไล่จี้หลักสามแสน ชนะแค่สองหมื่น ไม่ถือว่าสำเร็จ ครับ
ส่วนที่แพ้ยับเยิน คือ ศรีสะเกษ อุตส่าห์ชูไล่หนู ตีงูเห่า ก็ยังแพ้ขาด เชียงราย ที่ปราศรัยหลายเวที ก็ยังแพ้ ลำพูน แพ้ส้ม
บึงกาฬ แพ้คุณนายของทรงศักดิ์ ทองศรี รมช. มหาดไทย
สรุป อบจ.คราวนี้ บ้านใหญ่ ชนะ พรรคใหญ่ ส่วนทักษิณ หลบหน้าไปมาเลเซียแล้ว…”
ครับ…ที่คาดหวังว่าเลือกตั้งนายก อบจ.จะสะท้อนไปถึงเลือกตั้ง สส.นั้น “ทักษิณ” หมดท่าครับ
การปลุกพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นพรรคอันดับ ๑ ไม่ใช่งานง่ายๆ อีกต่อไป
เลือกตั้งคราวหน้า นอกจากพรรคส้มแล้ว พรรคภูมิใจไทย ยังเป็นตัวสอดแทรกที่น่ากลัว เพราะพรรคนี้มักมาแบบเงียบๆ
ราวกับขอมดำดิน!
ที่มักปรากฏตัวขึ้นทันทีทันใดอย่างไม่คาดฝัน แต่ถึงบทจะหายก็หายไปอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย ไม่ทันได้สังเกต
ก่อนเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ก็แทบไม่มีอะไรให้สังเกตเห็น เพราะสังคมมัวไปจับจ้อง “พรรคส้ม” ที่ทำสงครามน้ำลายกับ “ทักษิณ”
หลังเลือกตั้ง อบจ.สีน้ำเงินพรึ่บ! ไปหมด
เป็นข้อดีที่พรรคภูมิใจไทยไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรค แต่ให้การสนับสนุนอยู่ข้างหลังแทนคือ ไม่มีแรงเสียดทานในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล
ซึ่งนั่นก็คือข้อเสียของการโยงรัฐบาลกับการเลือกตั้งนายก อบจ.
ภาพลักษณ์รัฐบาลที่มิได้เป็นบวกทางการเมือง เพราะมีปัญหาในการทำนโยบายที่ขัดแย้งกับศีลธรรม มีส่วนทำให้ประชาชนปฏิเสธพรรคเพื่อไทยเช่นกัน
แม้ไม่ใช่สาเหตุหลัก
แต่เป็นการเซาะกร่อนความเชื่อมั่นในตัว “ทักษิณ” ในฐานะผู้ครอบงำรัฐบาล
ว่า “ทักษิณ” ขายไม่ได้แล้วจริงๆ